11 กันยายน 2564 นพ.กิตตินันท์ อนรรฆมณี ผู้อำนวยการสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) หรือ สรพ. เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่เยี่ยมชมและให้กำลังใจกับบุคลากรผู้ปฏิบัติงานโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 10 ก.ย. ที่ผ่านมา ว่า สรพ.ขอชื่นชมโรงพยาบาลสนามแห่งนี้ คือ การทำงานแบบมีส่วนร่วมของทีมงานสหวิชาชีพต่างๆ อาทิ ทีมวิศวกรมาช่วยออกแบบระบบไอที ในการดูแลผู้ป่วย มีนักสังคมสงเคราะห์ช่วยดูแลผู้ป่วยทั้งก่อนและหลังเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล รวมถึงทีมล่ามแปลภาษาเพื่อช่วยสื่อสารกับผู้ป่วยชาวต่างชาติ
นอกจากนี้ มีนักจิตวิทยาคอยให้คำปรึกษาและดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะความเครียด รวมถึงการให้บริการรับ-ส่งผู้ป่วยจากแท็กซี่ ที่เคยเป็นผู้ป่วยร่วมเข้ามาเป็นจิตอาสา ซึ่งถือเป็นการทำงานที่เชื่อมโยงกันในทุกมิติ นอกเหนือจากการนำแนวคิดตามมาตรฐาน HA มาใช้ในการบริหารจัดการและวางระบบงานในการดูแลผู้ป่วยได้อย่างดี โดยจุดเด่นหลักๆ คือ การบริหารจัดการ การเลือกอาคารที่เหมาะสม มีสภาพแวดล้อมที่ดีไม่อยู่ใกล้ชุมชน อีกทั้ง ยังมีความพร้อมทางด้านอุปกรณ์ทางการแพทย์และศักยภาพของบุคลากรทางการแพทย์ด้วย
ขณะที่ รศ.นพ.พฤหัส ต่ออุดม ผอ.โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ กล่าวว่า ถือเป็นโรงพยาบาลสนามแห่งแรกของไทย ก่อตั้งช่วงต้นปี 2563 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระผู้ป่วยโควิด-19 จากโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ หรือ โรงพยาบาลหลัก โดยได้นำแนวทางตามมาตรฐาน HA มาปรับใช้ทั้งในส่วนของการจัดการโครงสร้างผู้บริหารรวมถึงการจัดการระบบผู้ป่วย ซึ่งเน้นความปลอดภัยของบุคลากรและผู้ป่วยเป็นหลัก
ขณะเดียวกัน ที่สำคัญยังคำนึงถึงความปลอดภัยของคนในชุมชนโดยรอบ ด้วยการเลือกอาคารที่อยู่ห่างไกล มีอากาศถ่ายเทสะดวก ส่วนภายในอาคารแยกโซนผู้ป่วยและบุคลากรอย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังได้ติดตั้งระบบ UV ฆ่าเชื้อในลิฟท์ และควบคุมการกำจัดขยะติดเชื้อ รวมถึงการเติมคลอรีนในท่อระบายน้ำเสีย เพื่อไม่ให้เชื้อโรคปะปนกับน้ำในท่อระบาย
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ได้ปรับบทบาทให้สอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐ เพื่อรองรับผู้ป่วยที่มีจำนวนมากขึ้นใน Wave 3 และ Wave 4 โดยเปิดรับผู้ป่วยฉุกเฉิน และผู้ป่วยสีเหลือง จำนวน 400 เตียง แต่เนื่องจากขณะนี้มีระบบ Home Isolation จึงมีการลดเตียงลงเหลือเพียง 200 เตียง และตั้งเป้าดูแลผู้ป่วย Home Isolation ให้ได้จำนวน1,400 รายต่อวัน
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการดูแลผู้ป่วยด่านแรกซึ่งจากการปรับแผนดังกล่าวส่งผลให้มีผู้ป่วยโควิด เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหลักลดลง อย่างไรก็ตาม หลังจากนำระบบรักษาตนเองที่บ้านมาใช้กับผู้ป่วยสีเขียว ทำให้สถิติผู้ป่วยที่รักษาโควิดในโรงพยาบาลมีเพียง 10 % ส่วนอีก 90 % เป็นผู้ป่วยที่ดูแลตนเองที่บ้าน ดังนั้นแม้มียอดผู้ติดเชื้อหมื่นกว่ารายต่อวัน หากใช้แผนดังกล่าวก็สามารถรับมือได้