ผ่านนายราเมศ รัตนะเชวง เลขานุการประธานรัฐสภา และพรรคประชาธิปัตย์เพื่อช่วยเหลือในสถานการณ์วิกฤติโควิด 19 การที่ศบค. สั่งปิดกิจการสถานออกกำลังกายและฟิตเนสตลอดระยะเวลาการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ทั้ง 3 รอบ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการ ลูกจ้างประจำ กลุ่มอาชีพอิสระ รวมถึงคนออกกำลังกายทั้งหมด ซึ่งการคลายล็อกดาวน์ครั้งล่าสุดก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดทำการได้ ทำให้คนจำนวนมากตกงาน และสร้างความเสียหายต่อมูลค่ารวมทางเศรษฐกิจ ถึงแม้ผู้ฝึกสอนออกกำลังกายบางท่านสามารถปรับไปสอนออนไลน์แต่รายได้โดยรวมของกลุ่มอาชีพและธุรกิจฟิตเนสลดลงอย่างมากแต่ค่าใช้จ่ายยังคงอยู่ อีกทั้งการส่งเสริมการออกกำลังกายเป็นสิ่งสำคัญเพราะจะสร้างภูมิคุ้มกันต้านโควิด รัฐบาลจึงควรเร่งพิจารณาแนวทางที่เหมาะสม เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ให้ความร่วมมือกับมาตรการภาครัฐแต่กลับได้รับผลกระทบเชิงลบหนัก และฟื้นฟูเศรษฐกิจให้พร้อมรับการเปิดประเทศ
ด้านตัวแทนกล่มุผู้ประกอบการสถานออกกําลังกายและผู้ฝึกสอนการออกกําลังกาย ธันย์ปวัฒน์ เตขภูวดลวิทิต ระบุ ได้เสนอให้ผู้มีอำนาจพิจารณา 7 มาตรการ เช่น ยกเลิกคำสั่งปิดสถานออกกำลังกายและฟิตเนสแบบเหมารวม โดยให้ปิดเฉพาะสถานประกอบการที่พบผู้ติดเชื้อหรืออยู่ในบริเวณพื้นที่ที่มีความเสี่ยงเป็นระยะ 14 วัน โดยสถานประกอบการที่มีการตรวจพบผู้ติดเชื้อต้องทำความสะอาดร้านตามมาตรฐานที่กรมอนามัยและกรมควบคุมโรคกำหนด และให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขตรวจเช็คก่อนเปิดให้บริการตามปกติ เช่นเดียวกับธุรกิจร้านอาหารและภัตตาคาร
รวมทั้งออกคำสั่งให้สถานออกกำลังกายและฟิตเนสกลับมาเปิดบริการ และจัดกิจกรรมต่างๆ อย่างเต็มรูปแบบ ได้ภายในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ โดยให้คงการปฏิบัติตามมาตรการคำสั่งของศบค. อย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมจำนวนผู้เข้าใช้บริการ การตรวจคัดกรองอุณหภูมิพนักงาน และการใช้ชุดตรวจ ATK คัดกรองผู้ใช้บริการทุกคน