“คนมีสี” และ “คนในแวดวงราชการ” บางส่วน มีความเชื่อในเรื่องนี้ โดยมีสโลแกนที่รู้กันในวงการว่า...
“สายโลหิต ศิษย์ข้างเคียง เสบียงหลังบ้าน กราบกรานสอพลอ ล่อไข่แดง แกร่งวิชา ถลามาเอง”
ความหมายของสโลแกนนี้ ตีความหมาย ได้ดังนี้
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้สรุปว่า “ผู้กำกับโจ้” มีค่านิยมแบบนี้ แต่นี่คือแนวคิดและพฤติกรรมของผู้ที่จะประสบความสำเร็จในระบบราชการไทยที่เลือกใช้แนวทาง “เส้นสาย-ไต่เต้า” ซึ่งบางคนก็ “ไต่เต้า” กันจริงๆ เลย ด้วยการคบหากับ “ลูกสาวเจ้านาย” และรูปแบบการเติบโตในชีวิตราชการแบบนี้อยู่จริง ไม่ได้มีแต่ในละคร หรือภาพยนตร์
วิธีการคือ “เข้าหลังบ้าน จีบลูกสาวนาย” ซึ่งจะว่าไปแล้ว “นาย” เอง รวมถึง “คุณนาย” ซึ่งหมายถึง “เมียนาย” ก็อาจจะพึงพอใจ และอยากให้ลูกสาวคบหาตำรวจ-ทหารหนุ่มๆ ไฟแรง และมีอนาคตด้วย เพื่อที่ว่าในอนาคต ยามที่พ่อแม่แก่ชรา หมดอำนาจลง ก็ยังอาศัยใบบุญ หรือบารมีของลูกเขยได้ ซึ่งในวันนั้นก็คงเป็นใหญ่เป็นโตแล้ว จากการสนับสนุนของ “นาย” หรือ “พ่อตา” นั่นเอง
ในวงการตำรวจมีหลายคนที่เลือกเส้นทางนี้ เช่น ตำรวจคนดังที่คุมโรงพ้กเกรดเอ ย่านทำเลทองของกรุงเทพฯ ที่ได้ฉายา “ราชบุตรเขย” เพราะเป็นลูกเขยของ อดีตผบ.ตร. น้องชาย “พี่ใหญ่” ที่มีอำนาจคับประเทศอยู่ในปัจจุบัน
สำหรับชีวิตส่วนตัวของ ผกก.โจ้ เพื่อนสนิทเล่าว่า ไม่แน่ใจว่ามีค่านิยม “สายโลหิต ศิษย์ข้างเคียง เสบียงหลังบ้าน ฯลฯ” ด้วยหรือเปล่า โดยข้อมูลเชิงลึกจากเพื่อนคนสนิท พบว่า ผกก.โจ้ มีรสนิยมส่วนตัวเป็นคนไฮโซคนหนึ่ง ใจดี สปอร์ต สายเปย์กับผู้หญิง มักชื่นชอบดารา ชอบคบหากับดาราดัง
ในสมัยเรียนนายร้อยตำรวจ ผกก.โจ้ เคยเล่าให้เพื่อนฟังว่า คุยอยู่กับดารานักแสดงชื่อดัง 2 คน ก่อนจะมีครอบครัว และมาคบหาดูใจกับดาราดังจนเลิกรากันไป และอยู่ระหว่างการคบหาดูใจกับผู้ประกาศข่าว ลูกสาวของผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6