26 สิงหาคม 2564 “ผู้กำกับโจ้” หรือ พันตำรวจเอก ธิติสรรค์ อุทธนผล เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 41 และนักเรียนนายร้อยตำรวจ หรือ นรต.รุ่น 57 ปัจจุบันอายุ 41 ปี
เส้นทางชีวิตราชการติดซูเปอร์สปีด สมฉายา “โจ้เฟอร์รารี่” แม้จะเป็นสายบู๊ สายปฏิบัติการ แต่ก็อยู่หน่วยระดับเกรดเอ คือ กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เคยเป็นสารวัตรกองกำกับการ 2 กองบังคับการปราบปรามยาเสพติด 1 รองผู้กำกับการ 1 กองบังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 4 ก่อนจะโยกเข้าโรงพัก เป็นรองผู้กำกับการสืบสวน สภ.เมืองพิษณุโลก และขึ้นผู้กำกับที่ สภ.เมืองนครสวรรค์ หากไม่ก่อเหตุอาชญากรรม เส้นทางสู่ "นายพลตำรวจ" อาจแค่เอื้อม
ประวัติงานไฮสปีดแล้ว ประวัติด้านอื่นก็ไม่เบา จัดว่า “ฟูลออปชั่น” คร่ำหวอดทั้งในวงการรถหรู มีรถไว้ในครอบครอง นับ 30 คัน อาทิ ลัมโบกินี เฟอร์รารี ปอร์เช่ เบนเลย์ บีเอ็มดับบลิว เบนซ์ มินิคูเปอร์ ฯลฯ และแต่ละคันเลขทะเบียนสวยทั้งนั้น ประเมินราคาเบื้องต้น 175,285,000 บาท
และมีชื่อปรากฏในวงการบันเทิง ด้วยการคบหากับนักแสดง พิธีกร นางแบบ จัดเป็น "สายเปย์" เคยซื้อของกำนัลนาฬิกาหรู มูลค่า 1,200,000 บาท ให้นักแสดงสาว แถมยังสร้างวีรกรรมการง้อ ขอโอกาสคืนดี ด้วยการยกเงินสดให้ 230 ล้านบาท พร้อมซูเปอร์คาร์ทุกคัน
“ทีมข่าวเจาะ เนชั่นทีวี” ได้มีโอกาสพูดคุยกับเพื่อนร่วมรุ่นของ “ผู้กำกับโจ้” หลายคน แต่ละคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า นิสัยใจคอของ “ผู้กำกับโจ้” ตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ ก็เป็นคนไม่มีอะไร นิสัยใจคอปกติดี ไม่ได้ใจคอโหดเหี้ยม แต่ไม่ค่อยได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่วมรุ่นเท่าที่ควร เนื่องจาก
“ผู้กำกับโจ้ มักจะคุยกับเพื่อนไม่ค่อยรู้เรื่อง และเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานสูง"
ส่วนที่หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า “ผู้กำกับโจ้” มีรายได้จากไหน ถึงได้ใช้ชีวิตร่ำรวยอู้ฟู่ เพื่อนสนิทของ “ผู้กำกับโจ้” เล่าว่า พื้นฐานครอบครัวของ “ผู้กำกับโจ้” เคยทำธุรกิจสัมปทานรังนก จึงมีความรู้เรื่องรังนก และได้ร่วมหุ้นกับกลุ่มเพื่อนทำธุรกิจน้ำผลไม้ผสมรังนกส่งขายตามร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศ นอกจากนั้นยังมีความสนใจเรื่องรถยนต์หรู ก็ได้ทำธุรกิจเต็นท์รถหรูด้วย ทำให้มีรายได้เป็นกอบเป็นกำ เงินที่มีจึงไม่น่าจะได้มาจากการเก็บส่วยตามที่สังคมตั้งข้อสงสัย
และเมื่อได้ดำรงตำแหน่งผู้กำกับ ที่ สภ.เมืองนครสวรรค์ ยังทำหน้าที่ดูแลบัญชีการแต่งตั้งโยกย้ายให้กับผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 เมื่อมีโอกาสทำหน้าที่สำคัญแบบนี้ก็ทำให้ได้รับการยอมรับจากเพื่อนในรุ่นมากขึ้น เพราะ “ผู้กำกับโจ้” ช่วยเพื่อนโดยไม่ต้องเสียเงินในการวิ่งเต้นโยกย้าย
ส่วนเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่เกิดขึ้น เพื่อนสนิทคนนี้ มองว่า อาจจะเกิดจาก “ความพลาด” พลาดที่ลงมือเอง ซึ่งระดับผู้กำกับ เป็นหัวหน้าสถานีแล้ว ไม่จำเป็นต้องลงมือเอง หากจะต้องการข่มขู่เพื่อเค้นข้อมูลอะไรบางอย่าง
งานนี้ถือว่าพลาดเพราะไม่มีประสบการณ์ ทั้งหมดอาจมาจากเหตุผล
“เพียงต้องการได้รับการยอมรับ” จากผู้ใต้บังคับบัญชา เพราะ “ผู้กำกับโจ้” ไม่ค่อยได้รับการยอมรับเท่าที่ควร และยังมีปัญหาภายในโรงพักอีกด้วย