ลิซ่า ลาพ้อยต์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพของรัฐบริติช โคลัมเบียของแคนาดา แถลงว่า ได้รับรายงานการเสียชีวิตอย่างกะทันหันและไม่คาดคิดของประชาชนอย่างน้อย 486 คน ระหว่างวันศุกร์ถึงวันพุธ ขณะที่ปกติจะมีผู้เสียชีวิตในรัฐประมาณ 165 คน
และแม้จะยังเร็วเกินไปที่จะระบุว่า ตัวเลขผู้เสียชีวิตเหล่านี้เกี่ยวข้องกับคลื่นความร้อนแต่ก็เชื่อว่า การเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนี้ มาจากสภาพอากาศที่รุนแรง
บ้านเรือนจำนวนมากในแวนคูเวอร์ เมืองที่มีประชากรมากที่สุดในบริติช โคลัมเบีย ไม่มีเครื่องปรับอากาศ ทำให้ประชาชนไม่พร้อมรับมืออุณหภูมิที่พุ่งสูงขึ้น และน่าเสียดายที่หลายสิบคนต้องตายเพราะเหตุนี้
ด้านเจ้าหน้าที่สาธารณสุขรัฐโอเรกอนของสหรัฐฯ ก็บอกว่า มีผู้เสียชีวิตที่เกี่ยวโยงกับคลื่นความร้อนมากกว่า 60 คน เช่น เขตมัลท์โนมาห์ ซึ่งเป็นเขตที่ใหญ่ที่สุดของรัฐ มีผู้เสียชีวิต 45 คน นับตั้งแต่ที่อุณหภูมิสูงขึ้นเมื่อวันศุกร์ โดยเหยื่อความร้อนมีอายุตั้งแต่ 44 ถึง 97 ปี
เมื่อเทียบกับช่วงระหว่างปี 2560 ถึง 2562 มีผู้เสียชีวิตจากคลื่นความร้อนเพียง 12 คน ที่รัฐโอเรกอน ส่วนรัฐวอชิงตัน มีเพียง 12 คน
นักอุตุนิยมวิทยา อธิบายว่า คลื่นความร้อน หรือ ฮีทเวฟ คือ อากาศร้อนจัดที่สะสมอยู่พื้นที่บริเวณหนึ่ง แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ แบบสะสมความร้อน คือ ลมนิ่ง แสงอาทิตย์ไม่เคลื่อนที่ อุณหภูมิสะสมหลายวัน กับแบบพัดพาความร้อน ที่เกิดจากแรงหอบความร้อนจากทะเลทราย ขึ้นไปในเขตหนาว