
"ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย เราจงร่วมใจยืนตรงเคารพธงชาติด้วยความภาคภูมิใจในเอกราชและความเสียสละของบรรพบุรุษไทย" คำกล่าวที่คนไทยทุกคนคุ้นเคยก่อนที่บทเพลงชาติจะเริ่มต้นขึ้น เป็นสิ่งย้ำเตือนใจให้ได้ตระหนักถึงความสำคัญของธงชาติในฐานะเป็นสัญลักษณ์ที่รวมใจคนทั้งชาติให้เป็นหนึ่งเดียว และธงชาติไทยยังเป็นสิ่งเตือนใจให้คนรุ่นหลังได้รู้ถึงการเสียสละเลือดเนื้อของบรรพบุรุษที่ได้รักษาไว้ซึ่งแผ่นดินนี้เพื่อลูกหลานไทย
แต่เชื่อได้ว่ายังมีคนไทยอีกเป็นจำนวนมากที่ยังไม่ทราบถึง ความเป็นมาว่า "ธงไตรรงค์ ธงชาติไทย"ซึ่ง คุณ พฤฒิพล ประชุมผล ผู้อำนวยการและผู้บริหาร พิพิธภัณฑ์ธงชาติไทย และเป็นผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ธงสยามได้อธิบายเรื่องราวและเล่าความเป็นมาเป็นไป ประวัติของธงชาติไทยที่เรายืนตรงเคารพทุกเช้าเย็นนั้นมีที่มาอย่างไร? ผู้ใดเป็นผู้ออกแบบ? ประกาศใช้ตั้งแต่เมื่อใด? และที่สำคัญกว่านั้นธงชาติไทยถือเป็นสิ่งที่คนไทยทุกคนรักและเทิดทูนในฐานะสัญลักษณ์สูงสุดของชาติ โดยเป็นสัญลักษณ์ที่ไม่อิงการเมือง เป็นสัญลักษณ์ที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดกลุ่มหรือขั้วอำนาจใดๆ แต่เป็นสัญลักษณ์ที่รวมใจคนไทยให้เกิดความรักและสามัคคีร่วมกัน
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ทรงออกแบบธงไตรรงค์และพระราชทานให้เป็นธงชาติไทยเพื่อให้ประชาชนชาวไทยใช้เป็นสัญลักษณ์แสดงความเป็นชาติไทย ซึ่งประกาศใช้เป็นครั้งแรกในพระราชบัญญัติประกาศแก้ไขพระราชบัญญัติธงครั้งที่ ๒ ในวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๔๖๐ อยู่ในมาตราที่ ๓ ดังนี้ธงชาติสยาม รูปสี่เหลี่ยมรี มีขนาดกว้าง ๒ ส่วน ยาว ๓ ส่วน มีแถบสีน้ำเงินแก่ กว้าง ๑ ส่วน ซึ่งแบ่ง ๓ ของขนาดกว้างแห่งธงอยู่กลาง มีแถบขาวกว้าง ๑ ส่วน ซึ่งแบ่ง ๖ ของขนาดกว้างแห่งธงข้างละแถบ แล้วมีแถบสีแดงกว้างเท่าแถบขาวประกอบชั้นนอกอีกข้างละแถบ ธงสำหรับชาติสยามอย่างนี้ให้เรียกว่าธงไตรรงค์ สำหรับใช้ชักในเรือพ่อค้าทั้งหลาย แลในที่ต่างๆ ของสาธรณชนบรรดาที่เปนชาติสยามทั่วไปแต่มีคนไทยน้อยคนนักที่จะทราบว่าแถบสีธงไตรรงค์ ธงชาติไทยมีที่มาอย่างไร เพราะส่วนใหญ่แล้วรู้จักเพียงความหมายของแถบสีทั้งสามบนพื้นธงชาติ
ขึ้นสมัยรัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ธ ผู้ทรงสถาปนาราชวงศ์จักรี ได้นำวงจักรอันเป็นนามแห่งราชวงศ์วางไว้กลางธง โดยมีพื้นธงเป็นสีแดงเนื่องจากคนไทยเรามีความเชื่อกันว่า พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์เสด็จอวตารมาจากสมมุติเทพ ซึ่งก็คือองค์พระนารายณ์ โดยที่พระกรขององค์พระนารายณ์มีของสำคัญ ๔ อย่าง ได้แก่ จักร สังฃ์ คฑา และธรณี โดยรัชกาลที่ ๑ได้มีพระราชประสงค์นำวงจักรซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนามแห่งราชวงศ์วางบนพื้นผ้าสีแดงเป็นธงชาติสยาม เหตุที่พื้นธงเป็นสีแดงนั้นก็เพราะว่าสีแดงเป็นสีที่สายตามนุษย์เห็นชัดที่สุด ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ในเรื่องของความยาวของคลื่นแสง
ด้วยเหตุนี้ธงชาติในสมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน มากกว่าร้อยละ ๘๐ ล้วนล้วนมีสีแดงเป็นส่วนประกอบสำคัญบนผืนธง ซึ่งธงวงจักรอันหมายถึงสัญลักษณ์ประจำชาติสยามในสมัยรัชกาลที่ ๑ นั้นถือได้ว่าเป็นธงชาติแบบแรกสุด ทั้งนี้เนื่องจากว่าในขณะนั้นยังอยู่ในช่วงของการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจสูงสุด ดังนั้นธงที่เป็นพระราชประสงค์ของพระองค์จึงเป็นธงชาติไปโดยปริยาย นอกจากนี้ยังถือได้ว่าเป็นธงพระอิสริยยศอีกด้วย เนื่องจากธงวงจักรได้แสดงถึงความเป็นพระมหากษัตริย์และใช้เฉพาะพระองค์ อีกทั้งยังถือเป็นธงประจำเรือหลวงด้วยเช่นกัน เพราะในขณะนั้นราษฎรหรือสามัญชนทั่วไปใช้ได้แต่เพียงธงแดงเกลี้ยงเป็นสัญลักษณ์ประจำเรือโดยทั่วไปเท่านั้น ไม่สามารถใช้ธงวงจักรได้ เพราะมีสัญลักษณ์อันเป็นส่วนหนึ่งของนามแห่งราชวงศ์จักรี
ขึ้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ พระองค์ทรงได้ช้างเผือกเอกมาถึงสามช้างได้แก่ พระยาเศวตกุญชร พระยาเศวตไอยรา พระยาเศวตคชลักษณ์ พระองค์จึงทรงนำรูปช้างเผือกวางกลางวงจักร ถือเป็นการใช้รูปช้างเผือกบนธงชาติสยามเป็นครั้งแรก แต่ยังคงใช้บนเรือหลวงเท่านั้น ราษฎรทั่วไปยังคงใช้ธงแดงเกลี้ยงเช่นเดิม
หมายเหตุ : ซึ่งเมื่อย้อนกลับไปปีที่ ๑๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงให้มีการประกาศใช้กฎหมายธงสำคัญของแผ่นดินเป็นครั้งแรก โดยได้มีการระบุรูปแบบธงของชาติสยามอย่างชัดเจน อยู่ในพระราชบัญญัติซึ่งมีชื่อเรียกอย่างเต็มว่า "พระราชบัญญัติว่าด้วยแบบอย่างธงสยาม ร.ศ. ๑๑๐" ซึ่งพระราชบัญญัติธงฉบับนี้ ได้มีการระบุรูปแบบธงชาติสยามอยู่ในลำดับที่ ๑๓ แต่พระราชบัญญัติธงฉบับแรกนี้ ก็มิได้กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของธงชาติสยามแต่อย่างใด
ต่อมาจึงมีการออกพระราชบัญญัติธงอีกฉบับ คือรัตนโกสินทร์ ศก ๑๑๖ โดยในฉบับนี้ได้มีการพิมพ์เพิ่มเติมเกี่ยวกับความเป็นมาของธงชาติสยามไว้อย่างชัดเจน นับตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ซึ่งมีการระบุไว้ดังนี้ "ธงอันเปนสำคัญเครื่องหมายแห่งสยามประเทศนี้แต่ก่อนมาใช้ผ้าสีแดงเกลี้ยง ครั้นถึงในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์ ทรงพระราชดำริห์ว่า เรือหลวงกับเรือราษฎร ควรมีเครื่องหมายสำคัญให้เห็นต่างกัน จึงมีพระบรมราชโองการดำรัสเหนือเกล้าฯ สั่งให้บรรดาเรือหลวงทั้งปวง ทำรูปจักรอันเปนนามสัญญาพระบรมราชวงษ์แห่งพระองค์ลงไว้ในกลางธง พื้นแดงนั้นเปนเครื่องหมายใช้ในเรือหลวง"หมายความว่า ธงสีแดงใช้กับเรือของราษฎรชาวสยามโดยทั่วไป ส่วนเรือของพระมหากษัตริย์หรือที่เรียกว่ากำปั่นหลวงใช้ธงสีแดงและมีรูปวงจักรสีขาวอยู่ตรงกลาง
นอกจากนี้ในพระราชบัญญัติธงฉบับ ร.ศ. ๑๑๖ ยังระบุต่อไปว่า "ต่อมาถึงในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาไลย ครั้งนั้นมีสารเสวตรอันอุดมด้วยลักษณ มาสู่พระราชสมภารถึงสามช้าง เปนการพิเศษไม่มีได้ในประเทศอื่นเสมอเหมือน ควรจะอัศจรรย์อาไศรย์คุณพิเศษอันนั้น จึงมีพระบรมราชโองการดำรัสเหนือเกล้าฯ ให้ทำรูปช้างเผือกลงไว้กลางวงจักรในธงเรือหลวงนั้นด้วย"หมายความว่าพอขึ้นสมัยรัชกาลที่ ๒ สยามได้ช้างเผือกรูปงามมาถึงสามช้างในรัชกาลเดียว คือ พระยาเศวตกุญชร พระยาเศวตไอยรา และพระยาเศวตคชลักษณ์ พระองค์จึงมีพระราชดำรินำรูปช้างเผือกสีขาววางไว้กลางวงจักรสีขาวบนผ้าพื้นแดงและเป็นที่มาของธงชาติสยามในสมัยรัชกาลที่ ๒ และใช้จวบจนกระทั่งถึงแผ่นดินรัชกาลที่ ๓ ถัดจากความข้างต้นก็ได้มีการระบุเพิ่มเติมถึงการเริ่มใช้ธงช้างเผือกเป็นธงชาติสยามดังนี้ "ครั้นถึงในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระรำพึงถึงเรือค้าขายของชนชาวสยาม ที่ใช้ธงสีแดงเกลี้ยงอยู่นั้นไม่เปนการสมควร เหตุว่าซ้ำกับประเทศอื่นยากที่จะสังเกต เห็นเปนการควรจะใช้ธงอันมีเครื่องหมายเหมือนอย่างเรือหลวงทั่วไป แต่ว่ารูปจักรเปนของสูงไม่สมควรที่ราษฎรจะใช้จึงมีพระบรมราชโองการดำรัสเหนือเกล้าฯ ให้ยกรูปจักรออกเสีย คงแต่รูปช้างเผือกบนพื้นแดง ให้ใช้ทั่วไปทั้งเรือหลวงแลเรือราษฎร"
ขยายความได้ว่าเมื่อขึ้นสมัยรัชกาลที่ ๔ พระองค์ได้ตัดสินพระราชหฤทัยให้ราษฎรชาวสยามเริ่มใช้สัญลักษณ์รูปช้างเผือกแทนธงสีแดงเกลี้ยงเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นที่มาของคำเรียกขานธงชาติแบบนี้ว่า "ธงช้างเผือก" จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ซึ่งจากหลักฐานดังกล่าวนับเป็นข้อมูลสำคัญที่ประเทศไทยใช้อ้างอิงรวมไปถึงใช้สำหรับการเรียนการสอนประวัติศาสตร์เกี่ยวกับธงชาติไทยมาโดยตลอดกว่าร้อยปีจนถึงปัจจุบันกระทั่งพิพิธภัณฑ์ธงชาติไทย โดยนายพฤฒิพล ประชุมผล ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ธงชาติไทย และนางสาวจันทกาญจน์ คล้อยสาย รองผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ธงชาติไทยได้ร่วมมือกับ Focke museum ณ เมืองเบรเมน ประเทศเยอรมนี เพื่อทำการค้นคว้าเกี่ยวกับการใช้ธงช้างเผือกในช่วงเวลาที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่มีหลักฐานยืนยัน และที่สำคัญภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีหลักฐานสำคัญยืนยันชัดเจนว่าธงช้างเผือกได้มีการใช้มาตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๙๒
ซึ่งหมายความว่าธงช้างเผือกผืนที่จัดแสดงนี้ได้ทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์ของชาติสยามมาตั้งแต่แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ แล้ว และเมื่อทำการศึกษาลึกลงไปในรายละเอียด กลับพบเรื่องราวที่น่าสนใจยิ่งขึ้น กล่าวคือลักษณะของช้างเผือกชูงวงนี้ ไม่ได้พบเพียงที่จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ฟอล์กเค่เท่านั้น แต่กลับพบว่าก่อนหน้านั้น นักเดินเรือชาวฝรั่งเศสได้ทำการบันทึกรูปแบบธงชาติที่สำคัญของโลก ซึ่งต่อมาได้ตีพิมพ์เป็นผังธงขนาดใหญ่ลงสีด้วยมือมีชื่อว่า Pavillons et Cocardes des Principales Puissances du Globe พิมพ์ขึ้นในปี พ.ศ. ๒๓๘๓ โดยในผังธงดังกล่าวได้มีการพิมพ์รูปธงชาติสยามแบบช้างเผือกชูงวงคล้ายกับที่จัดแสดง ณ พิพิธภัณฑ์ฟอล์กเค่ด้วย
นอกจากนี้ยังมีการค้นพบหลักฐานสำคัญเรื่องการใช้ธงช้างเผือกเป็นธงชาติสยามตรงกับในสมัยรัชกาลที่ ๓ อีกชิ้นหนึ่ง เป็นงานพิมพ์บนหนังสือพิมพ์ SUPPLEMENT OF THE SINGAPORE FREE PRESS ลงวันที่ ๒๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๓๘๖ (ค.ศ. ๑๘๔๓) ได้มีการระบุอย่างชัดเจนว่าหลังเรือกำปั่นจำนวนสามลำของสยามมีการชักธงช้างสีขาวบนพื้นธงสีแดง (a white Elepant in a red field)
จากสามหลักฐานสำคัญที่กล่าวมา จึงเป็นสิ่งยืนยันถึงเรื่องรูปแบบธงช้างเผือกว่ามีการใช้จริง และเป็นการใช้ในฐานะธงชาติสยามมาตั้งแต่ช่วงแผ่นดินรัชกาลที่ ๓ แล้ว ซึ่งจะเห็นได้ว่าช่วงเวลาของการใช้ธงช้างเผือกนั้น แตกต่างจากที่ระบุอยู่ในพระราชบัญญัติธงว่าด้วยแบบอย่างธงสยาม รัตนโกสินทร์ ศก ๑๑๖ ที่ได้ระบุไว้ว่ามีการเริ่มใช้ธงช้างเผือกแบบไม่มีวงจักรนับตั้งแต่แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้มากที่มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะของธงชาติหรือที่เรียกว่าพัฒนาการธงชาติสยามโดยปราศจากวงจักร เกิดขึ้นบนแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ เพราะเป็นยุคทองแห่งการเดินเรือค้าขายระหว่างประเทศ โดยมีความเป็นไปได้อย่างสูงที่รัชกาลที่ ๓ ทรงตัดสินพระราชหฤทัยในการให้สามัญชนชาวสยามยุติการใช้ธงแดงเกลี้ยงที่ใช้ชักบนกำปั่นต่างๆ
เนื่องจากสีแดงเกลี้ยงไม่สามารถระบุความเป็นชาติสยามได้ โดยคาดว่าพระองค์ทรงนำธงช้างเผือกในวงจักรที่ใช้ชักบนกำปั่นหลวงมาปรับเปลี่ยนโดยการนำวงจักรออกแล้วขยายช้างเผือกให้เห็นเด่นชัดขึ้นเป็นเครื่องหมายสำคัญประจำเรือสามัญชนชาวสยามเมื่อต้องล่องไปค้าขายยังต่างประเทศ ซึ่งการค้าขายระหว่างประเทศในสมัยรัชกาลที่ ๓ ถือได้ว่ามีการเจริญเติบโตสูงมาก พระองค์ทรงสนับสนุนส่งเสริมการค้าขายกับต่างประเทศทั้งกับชาวเอเชียและชาวยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้ากับจีนมาตั้งแต่เมื่อครั้งพระองค์ทรงดำรงพระอิสสริยศเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ นอกจากนี้ยังมีการแต่งสำเภาทั้งของราชการ เจ้านาย ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ และพ่อค้าชาวจีนไปค้าขายยังเมืองจีนและประเทศใกล้เคียง รวมถึงการเปิดค้าขายกับมหาอำนาจจะวันตก จนมีการลงนามในสนธิสัญญาค้าขายระหว่างกันคือสนธิสัญญาเบอร์นีในปี พ.ศ. ๒๓๖๙ และต่อมาก็ได้เปิดสัมพันธไมตรีกับสหรัฐอเมริกาและมีการทำสนธิสัญญาต่อกันในปี พ.ศ. ๒๓๗๕ ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวถึงนี้ น่าจะเป็นมูลเหตุสำคัญที่ทำให้พระองค์ทรงตัดสินพระราชหฤทัยในการเปลี่ยนแบบธงแดงเกลี้ยงที่ใช้บนเรือกำปั่นของสามัญชนชาวสยาม สู่การเริ่มต้นใช้ "ธงช้างเผือก" สัญลักษณ์แห่งเอกราชและความเป็นชาติสยามในที่สุด
จะเห็นได้ว่าจากหลักฐานที่ค้นพบล่าสุดและได้รับการยอมรับจากนักธัชวิทยาทั่วโลก ถือเป็นการยืนยันถึงห้วงเวลาในการใช้ธงช้างเผือกเป็นธงชาติสยามให้เป็นไปอย่างถูกต้องแม่นยำมากกว่าในอดีต ดังนั้นนับจากรัชกาลที่ ๓ เป็นต้นมา จึงเป็นแผ่นดินแรกที่ราษฎรหรือสามัญชนมีธงอันเป็นสัญลักษณ์ของชาติตนเองใช้เป็นครั้งแรกนั่นคือธงช้างเผือก ซึ่งรูปช้างเผือกนี้หมายถึงสัญลักษณ์สัตว์มงคลคู่แผ่นดินและเป็นสัญลักษณ์คู่พระบารมีของพระมหากษัตริย์แห่งกรุงสยาม
การใช้ธงช้างเผือกทั้งบนเรือหลวงและเรือราษฎรได้ดำเนินต่อมาจนถึงวันสำคัญ ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนของการใช้ธงช้างเผือกปล่อยหรือธงช้างเผือกเปล่า นั่นก็คือการที่ในหลวงรัชกาลที่ ๖ ได้ทรงเล็งเห็นถึงการจัดทำหรือวาดรูปช้างเผือกบนธงชาติสยามที่ไม่สง่างาม ดังที่มีการบันทึกในพระราชบัญญัติธง รัตนโกสินทร์ ศก ๑๒๙ ดังนี้ "แลทั้งรูปช้างซึ่งใช้กันอยู่ ก็ไม่งดงาม จนเกือบไม่ทราบว่าช้างหรืออะไร เปนเพราะวาดรูปช้างนั้นเปนการลำบากนั่นเอง ควรที่จะแกไข" จึงทำให้ที่การยกเลิกการใช้ธงช้างเผือกปล่อยหรือธงช้างเผือกเปล่า โดยเปลี่ยนมาใช้ธงแดงขาวห้าริ้ว หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า "ธงค้าขาย" เป็นธงชาติสยามสำหรับประชาชนแทน พร้อมกับประกาศให้หน่วยงานราชการต่างๆ มีธงชาติสยามเป็นการเฉพาะ เป็นรูปแบบธงช้างเผือกทรงเครื่องยืนแท่น โดยธงชาติทั้งสองแบบถูกประกาศใช้ในวันเดียวกันคือ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๙
จวบจนกระทั่งสยามได้ประกาศเข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ ๑ เมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๐ รัชกาลที่ ๖ จึงได้มีพระราชประสงค์ในการเปลี่ยนแถบสีธงชาติสยามใหม่ จากเดิมที่เป็นริ้วแดงขาวสองสี ก็ให้เป็นสามสีดั่งเช่นธงชาติสำคัญของประเทศมหาอำนาจที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ในนามว่าสัมพันธมิตร โดยพระองค์ได้ประกาศให้เพิ่มสีน้ำเงินแก่ลงบนแถบกลางของธงค้าขายที่ประกาศไว้เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๙ โดยได้พระราชทานนามธงชาติสยามอย่างใหม่ที่ประกอบด้วยสามสีคือสีแดง สีขาว และสีน้ำเงินนี้ว่า "ไตรรงค์" และประกาศอยู่ในพระราชบัญญัติแก้ไขพระราชบัญญัติธง ลงวันที่ ๒๘ กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๐
ส่วนความหมายของแถบสีบนธงไตรรงค์ ธงชาติไทย ที่เราท่องจำกันตั้งแต่เด็กๆ ว่า แดงคือชาติ ขาวคือศาสนา น้ำเงินคือพระมหากษัตริย์ มาจากการให้คำนิยามความหมายจากบทพระราชนิพนธ์เรื่อง "เครื่องหมายแห่งไตรรงค์" ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชนิพนธ์ไว้ดังนี้ขอร่ำรำพรรณบรรยาย ความคิดเครื่องหมาย แห่งสีทั้งสามงามถนัดขาวคือบริสุทธิ์ศรีสวัสดิ์ หมายพระไตรรัตน์ และธรรมะคุ้มจิตไทยแดงคือโลหิตเราไซร้ ซึ่งยอมสละได้ เพื่อรักษาชาติศาสนา น้ำเงินคือสีโสภา อันจอมประชา ธ โปรดเป็นของส่วนองค์จัดริ้วเข้าเป็นไตรรงค์ จึ่งเป็นสีธง ที่รักแห่งเราชาวไทย
โดยคณะรัฐมนตรี ได้มีการจัดประชุมเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๙ ซึ่งมีพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ได้ประกาศเรื่องการฉลองครบรอบ ๑๐๐ ปี การประกาศใช้ธงไตรรงค์ เป็นธงชาติไทยดังนี้คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกำหนดให้วันที่ ๒๘ กันยายน ของทุกปี เป็นวันพระราชทานธงชาติไทย (Thai National Flag Day) และเริ่มในวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๖๐ เป็นวันแรก โดยไม่ถือเป็นวันหยุดราชการ รวมทั้งกำหนดให้มีการชักและประดับธงชาติในวันดังกล่าวด้วย เพื่อเป็นการสร้างความภาคภูมิใจของคนในชาติ และเป็นการน้อมรำลึกถึงการที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) ทรงพระราชทานธงไตรรงค์เป็นธงชาติไทย
พร้อมกันนี้ทางพิพิธภัณฑ์ธงชาติไทยยังได้นำคณะไปร่วมประชุมใหญ่กับสมาพันธ์ธงนานาชาติ ( Fdration internationale des associations vexillologiques (FIAV) ซึ่งเป็นองค์กรที่ศึกษาเรื่องธงที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยได้ไปประกาศการฉลองครบรอบ ๑๐๐ ปี แห่งการพระราชทานธงไตรรงค์เป็นธงชาติไทย บนเวทีการประชุมใหญ่ของสมาพันธ์ธงนานาชาติ (ICV27) อีกด้วย
ดังนั้น จากการที่ ธงชาติไทย เป็นธงที่พระมหากษัตริย์ทรงออกแบบด้วยพระองค์เองและได้พระราชทานว่า ไตรรงค์ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญสูงสุดของชาติ เป็นสิ่งรวมใจของคนทั้งชาติ และเป็นสิ่งที่ทำให้คนไทยได้รำลึกถึงการเสียสละของบรรพบุรุษ อันก่อให้เกิดสำนึกทดแทนคุณประเทศชาติจวบจนถึงทุกวันนี้
ขอบคุณที่มาจาก คุณ พฤฒิพล ประชุมผล ดูข้อมูลต้นฉบับคลิกได้ที่นี่