ในคลิปเสียงของบทสนทนาที่เกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนธันวาคมปีที่แล้วแต่เพิ่งได้รับการเปิดเผยซึ่งเป็นที่มาของเนื้อหาใน "เรจ (Rage)" หนังสือแฉทรัมป์เล่มล่าสุด ทรัมป์ได้กล่าวกับบ๊อบ วู้ดเวิร์ด นักข่าวผู้โด่งดังจากการเปิดโปงคดี "วอเตอร์เกท" สมัยอดีตประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสันว่า เขาได้สร้างระบบอาวุธนิวเคลียร์ที่ไม่เคยมีมาก่อนในสหรัฐฯ และไม่มีใครเคยเห็นหรือเคยได้ยินมาก่อน แม้กระทั่งประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซีย และประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน
ต่อมาเมื่อนักข่าวถามทรัมป์ว่า เขาได้เปิดเผยข้อมูลชั้นความลับเกี่ยวกับโครงการอาวุธนิวเคลียร์ของประเทศหรือไม่ ทรัมป์อ้างว่า เขาไม่ได้เผยข้อมูลลับ เพียงแต่ระบุว่าอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ อยู่ในสถานะที่ยอดเยี่ยมที่สุดในรอบหลายสิบปี ซึ่งเขาหวังว่าสหรัฐฯ จะไม่จำเป็นต้องใช้ และระบบอาวุธที่ไม่มีใครเคยรู้นั้นมีอยู่จริง แต่เขาไม่ขออธิบายเพิ่มเติมไปมากกว่านี้
ด้านวู้ดเวิร์ดได้ตรวจสอบข้อมูลนี้กับเจ้าหน้าที่ความมั่นคงหลายคนในรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งต่างก็ยืนยันตรงกันว่า ทรัมป์ "พูดความจริง" และรู้สึกประหลาดใจที่ทรัมป์เลือกเปิดเผยข้อมูลนี้กับนักข่าว
คำถามในตอนนี้ก็คือ แล้วอาวุธลับที่ทรัมป์เอ่ยถึงคืออะไรกันแน่? เบื้องต้นผู้เชี่ยวชาญหลายคนมีความเห็นที่แตกต่างกันออกไป โดยฮานซ์ คริสเต็นเซ่น ผู้อำนวยการโครงการข้อมูลนิวเคลียร์ประจำสมาพันธ์นักวิทยาศาสตร์อเมริกันเชื่อว่า ทรัมป์หมายถึง "หัวรบนิวเคลียร์ขนาดเล็กติดเรือดำน้ำชนิดพลังทำลายล้างจำกัด" รุ่น W76-2 ซึ่งปรากฏเป็นข่าวครั้งแรกเมื่อปี 2561 และมีรายงานเมื่อเดือนมกราคมปีนี้ หรือราว 1 เดือนหลังทรัมป์ให้สัมภาษณ์กับวู้ดเวิร์ดว่า กองทัพสหรัฐฯ ได้นำอาวุธดังกล่าวเข้าติดตั้งในเรือดำน้ำแล้ว
W76-2 เป็นหัวรบนิวเคลียร์ที่ต่อยอดมาจากรุ่น W76-0 และ W76-1 ซึ่งมีการใช้งานมานานกว่า 40 ปี โดยรุ่นล่าสุดถูกทำให้มีพลังทำลายล้างลดลงจากเดิม 90-100 กิโลตัน เหลือ 5-7 กิโลตัน หรือน้อยกว่าแรงระเบิดปรมาณูที่เมืองฮิโรชิมาสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ประมาณ 2-3 เท่า
ด้านเชอริล โรเฟอร์ นักวิทยาศาสตร์ด้านนิวเคลียร์คาดว่าน่าจะเป็น W93 หัวรบรุ่น "ใหม่เอี่ยมอ่อง" ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาซึ่งกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้เปิดเผยเป็นครั้งแรกเมื่อต้นปีนี้ อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนมองว่า ทรัมป์อาจไม่ได้ตั้งใจหมายถึงหัวรบนิวเคลียร์ แต่น่าจะเป็น "ขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิค" มากกว่า เพราะหลังจากบทสนทนาดังกล่าวเกิดขึ้นได้ไม่นาน รัสเซียก็ได้เปิดตัวขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิครุ่น "อวองการ์ด" ขณะที่เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทรัมป์กล่าวว่าสหรัฐฯ กำลังพัฒนาขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงที่เร็วกว่ารุ่นที่ใช้อยู่ในปัจจุบันถึง 17 เท่า
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ครั้งแรกที่ทรัมป์นำข้อมูลชั้นความลับมาเปิดเผยจนสร้างความวิตกกังวลให้กับหน่วยงานด้านความมั่นคง ย้อนกลับไปเมื่อปี 2560 ทรัมป์ที่เพิ่งรับตำแหน่งได้ไม่กี่เดือนได้เชิญรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียและทูตรัสเซียมาเยือนถึงภายในห้องทำงานรูปไข่ในทำเนียบขาว โดยทรัมป์ได้บอก "ข้อมูลลับสุดยอด" ที่อิสราเอลส่งมาให้เกี่ยวกับแผนการของกลุ่มไอเอสกับนักการทูตรัสเซียทั้งสองคน ทั้งที่เจ้าหน้าที่ข่าวกรองระบุว่าข้อมูลนี้ "อ่อนไหวมาก" จนแม้กระทั่งหลายชาติพันธมิตรของสหรัฐฯ ยังไม่อาจเข้าถึงได้
นอกจากนี้ในปีเดียวกัน ทรัมป์ได้บอกกับประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตร์เตของฟิลิปปินส์ว่า สหรัฐฯ ได้ส่งเรือดำน้ำ 2 ลำไปประจำการใกล้กับเกาหลีเหนือซึ่งในขณะนั้นบรรยากาศบนคาบสมุทรเกาหลีกำลังตึงเครียดอย่างหนัก หรืออย่างเมื่อปีที่แล้วที่ทรัมป์โพสต์ผ่านทวิตเตอร์ เผยภาพฐานยิงจรวดของอิหร่านหลังเกิดเหตุจรวดระเบิด โดยภาพมีความละเอียดและมาพร้อมกับคำอธิบาย จนทำให้เกิดข้อสงสัยว่าสหรัฐฯ "อยู่เบื้องหลัง" หรือไม่
จริงอยู่ที่ทรัมป์ในฐานะประธานาธิบดี "มีอำนาจ" เปิดเผยข้อมูลชั้นความลับได้ แต่พฤติกรรม "ขี้อวด" ของเขาหลายครั้งก็ทำให้ถูกวิจารณ์เหมือนกันว่า ทรัมป์กำลังทำตัวเป็น "ภัยต่อความมั่นคง" ของสหรัฐฯ เสียเอง