ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมา กรมได้จัดสัมมนารับฟังความเห็นการฟื้นการเจรจาเอฟทีไทย-อียู ใน 4ภูมิภาค รวมทั้งกรุงเทพฯพบว่ามีผู้สนใจจากทุกภาคส่วนเข้าร่วมแสดงความคิดเห็นจำนวนมากและในส่วนของการจัดสัมมนาในครั้งนี้ผู้ร่วมสัมมนาจะได้รับทราบผลสรุปการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบจากการจัดทำความตกลงดังกล่าวซึ่งกรมฯ ได้มอบหมายให้ทีมวิจัยของสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา (ไอเอฟดี)ดำเนินการศึกษาตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมาเพื่อให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องสามารถนำข้อมูลผลการศึกษาดังกล่าวมาใช้เตรียมความพร้อมสำหรับการแข่งขันในตลาดโลกได้และภายหลังการสัมมนาเผยแพร่ผลการศึกษาในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2562 กรมฯ จะจัดการประชุมรับฟังความเห็นสาธารณะตลอดจนผู้เกี่ยวข้อง และผู้สนใจเรื่องกรอบเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรปในวันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2562 ณ กระทรวงพาณิชย์
"หลังจากนั้นจะรวบรวมผลการดำเนินงานทั้งหมดตามข้อสั่งการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฏ์) ที่มอบให้กรมเจรจาฯไปดำเนินการเรื่องการฟื้นการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู ทั้งผลการศึกษาการจัดทำกรอบเจรจาการรับฟังความเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจากการลงพื้นที่ทุกภูมิภาคทั่วไทยในช่วงเดือนกันยายน-พฤศจิกายน2562 เป็นต้น เสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.)และคณะรัฐมนตรีพิจารณาตัดสินใจเรื่องการฟื้นการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียูต่อไป"
สำหรับสหภาพยุโรปถือเป็นคู่ค้าสำคัญของไทยรองจากอาเซียน จีน และญี่ปุ่น โดยในปี 2561ไทยและสหภาพยุโรปมีมูลค่าการค้าระหว่างกัน 47,341.5ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 9.4 ที่ไทยค้ากับทั่วโลก มีมูลค่าส่งออก 25,068.5 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบอัญมณีและเครื่องประดับ แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และนำเข้า 22,273.1 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้านำเข้าสำคัญ ได้แก่เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องบิน เครื่องร่อน อุปกรณ์การบินเครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์เวชกรรม-และเภสัชกรรม