"เหตุการณ์กรือเซะ" ที่คนสนใจปัญหาภาคใต้เรียกกันจนติดปากนั้น จริงๆ แล้วไม่ได้เกิดขึ้นที่มัสยิดกรือเซะ อำเภอเมืองปัตตานี เพียงแห่งเดียว พียงแต่ที่มัสยิดกรือเซะมีความสูญเสียมากที่สุด คือมีผู้เสียชีวิตมากถึง 32 ราย แต่ในวันเดียวกันนั้นยังมีความสูญเสียในจุดอื่นๆ อีก 10 จุด รวมทั้งสิ้น 11 จุดตั้งแต่เช้ามืดของวันที่ 28 เมษายน ปี 2547 หรือเมื่อ 14 ปีที่แล้ว มีกลุ่มวัยรุ่นและชายฉกรรจ์บุกโจมตีป้อมจุดตรวจของทหารและตำรวจ รวม 11 จุดใน 3 จังหวัด คือ จังหวัดปัตตานี ยะลา และสงขลาที่จุดตรวจบ้านกรือเซะ มีการยิงต่อสู้กัน ทำให้กลุ่มวัยรุ่นและชายฉกรรจ์ที่บุกโจมตี วิ่งหลบหนีเข้าไปในมัสยิดกรือเซะ ซึ่งน่าจะมีประชาชนปฏิบัติศาสนกิจด้านในอยู่แล้วจำนวนหนึ่ง ต่อมาเจ้าหน้าที่ทั้งทหาร ตำรวจ ได้นำกำลังไปล้อมมัสยิดเอาไว้ตั้งแต่เช้าจนถึงบ่าย ก่อนตัดสินใจใช้อาวุธหนักยิงถล่ม จนทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 32 ราย ส่วนจุดอื่นๆ ก็มีผู้เสียชีวิตทุกจุด รวมแล้ว 109 คนปลายปี 2555 รัฐบาลพรรคเพื่อไทย โดยศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้จ่ายเงินเยียวยาในอัตราใหม่ให้กับครอบครัวผู้สูญเสียในเหตุการณ์กรือเซะทั้งหมด 109 ราย ในจำนวนนี้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ 2 นาย รวมจ่ายเงินเยียวยาทั้งสิ้น 302 ล้านบาทหลังเหตุการณ์กรือเซะ มีการตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้นมาไต่สวนข้อเท็จจริง ผลการไต่สวนสรุปว่าเจ้าหน้าที่รัฐที่ปฏิบัติการในวันนั้น กระทำการเกินกว่าเหตุ
แต่ในทางคดีกลับไม่มีการฟ้องร้องดำเนินคดีเจ้าหน้าที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม รวมทั้งไม่มีการลงโทษทางวินัยเจ้าหน้าที่แม้แต่คนเดียว แต่มีผู้ต้องหาซึ่งเป็นประชาชนถูกจับกุมและถูกดำเนินคดี 1 คน คือ นายอับดุลรอนิง เจ๊ะเลาะ โดยเขาถูกจับกุมได้ที่หน้า สภ.แม่ลาน จังหวัดปัตตานี หนึ่งในจุดที่มีการโจมตี เขาถูกฟ้องคดีต่อศาล และศาลมีคำพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต แม้เขาจะอ้างว่าไม่รู้เรื่องการโจมตีโรงพักแม่ลานเลยก็ตาม แต่สาเหตุที่ไปอยู่ในเหตุการณ์ เพราะมีคนว่าจ้างให้ขับรถไปส่งลูกจ้างกรีดยางที่อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา14 ปีที่อับดุลรอนิงต่อสู้คดีและใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำ บ้านของเขาที่ตำบลควนโนรี อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี ต้องปิดร้าง ครอบครัวที่เคยอบอุ่น มีภรรยาและลูกๆ 3 คนต้องแตกสลาย ลูกคนโตเสียชีวิต วันนี้เขาเหลือเพียงแม่ซึ่งพักอาศัยอยู่ที่บ้านอีกหลังหนึ่งใกล้ๆ กับบ้านร้างของเขา และแม่คนนี้เองที่คอยดูแล ส่งข้าวส่งน้ำให้อับดุลรอนิงที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำจังหวัดสงขลา
แม่ของอับดุลรอนิง คือ แอเสาะ ลาเต๊ะ ปีนี้อายุ 76 ปีแล้ว แต่เธอยังต้องลากสังขารเดินทางไปเยี่ยมลูกชายทุกวันจันทร์ ทั้งๆ ที่มีฐานะยากจน โดยทุกเช้าวันจันทร์ เธอจะขึ้นรถไฟที่สถานีโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี ไปลงที่สถานีจะนะ จังหวัดสงขลาเพื่อต่อรถโดยสารไปที่เรือนจำจังหวัดสงขลา ใช้เวลาร่วมครึ่งวันถึงจะได้พบหน้าลูกแอเสาะ เล่าทั้งน้ำตาว่า ทุกๆ วันได้แต่นั่งมองปฏิทิน เพื่อรอวันที่ลูกจะได้อิสรภาพ เธอกลัวว่าจะเสียชีวิตไปเสียก่อนที่จะได้เห็นลูกชายออกจากคุก เพราะเธอแก่มากแล้ว ตอนที่ไปเยี่ยมลูกครั้งก่อนก็ลื่นหกล้มที่สถานีรถไฟ จนได้รับบาดเจ็บ ต้องนอนรักษาตัวนานเป็นสัปดาห์ จึงอยากขอวิงวอนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยทำเรื่องขออภัยโทษให้ลูกชายด้วยแม่ของอับดุลรอนิง บอกด้วยว่า ตลอด 14 ปีที่เกิดเหตุรุนแรงขึ้นในพื้นที่ ชาวบ้านมีแต่ความเดือดร้อน ครอบครัวของเธอเองก็เดือดร้อน ความปลอดภัยก็ไม่มี พื้นที่ปลอดภัยที่หวังว่าจะมีการเจรจากันได้ระหว่างรัฐบาลกับผู้ก่อเหตุรุนแรง ก็ยังไม่เกิดขึ้นเสียที แล้วเมื่อไหร่สถานการณ์ในพื้นที่จะสงบลงได้จริงๆ