ในมุมมองของคนนอกกองทัพและสื่อมวลชนทั่วไป เชื่อว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีการแบ่งสายกันของนายทหารแห่งกองทัพบก คือ "สายบูรพาพยัคฆ์" หรือ "นักรบบูรพา" ที่เติบโตมาจากกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ และกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ กับ "สายวงศ์เทวัญ" ที่เติบโตมาจากทหารรักษาพระองค์
แม้นายทหารในกองทัพเองจะยืนยันกับ "ล่าความจริง" ว่า การแบ่งสายเป็นบูรพาพยัคฆ์ กับ วงศ์เทวัญ น่าจะเป็นเรื่อง "ที่ตั้งหน่วย" เท่านั้น และเป็นการมองจากมุมคนนอก เพราะในกองทัพไม่ได้คิดกันแบบนี้ คิดเพียงว่าทุกคนเป็น จปร.เหมือนกันก็ตาม
ทว่า อาจารย์วันวิชิต ชี้ว่าการแบ่งสายนายทหารเป็น 2 สายใหญ่ๆ มีอยู่จริง โดยเฉพาะในห้วง 10 ปีหลัง จากการขึ้นมามีอำนาจทางการเมืองและในกองทัพของ "นายพลกลุ่ม 3 ป." คือ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ , พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา และ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำให้นายทหารสายบูรพาพยัคฆ์เบียดสายวงศ์เทวัญ ผงาดคุมตำแหน่งสำคัญๆ ในกองทัพมาตลอด ปรากฏการณ์นี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าทำให้เกิดการแข่งขันและแตกแยกกันในกองทัพบก
แต่การปรับย้ายนายทหารวาระกลางปีที่เพิ่งผ่านพ้นไป บวกกับสัญญาณการเปิดทางให้ "คนกลางจากรบพิเศษ" อย่าง พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท ผงาดขึ้นเป็น ผบ.ทบ.แทน ทำให้บรรยากาศเขม็งเกลียวระหว่าง "บูรพาพยัคฆ์ กับ วงศ์เทวัญ" คลี่คลายลง และนั่นทำให้อาจารย์วันวิชิตมองว่า เป็นการส่งสัญญาณว่า คสช.จะอยู่ยาว เนื่องจากผู้นำทางทหารและการเมืองพยายามสร้าง "เอกภาพในกองทัพ" ให้แข็งแกร่งที่สุด เพื่อค้ำยันสถานการณ์การเมืองในระยะต่อไป เพราะหากจะลงจากอำนาจแบบเบ็ดเสร็จจริง ก็น่าจะตั้งคนของตนเองทิ้งทวนในทุกตำแหน่งสำคัญไปเลย
บทสรุปของการปรับย้ายนายทหาร และการวางกำลังในกองทัพของ คสช. ก็คือการพยายาม "ลดพื้นที่ทางการเมืองในกองทัพลง" เพื่อความพร้อมสำหรับสู้ศึกการเมืองนอกกองทัพ