"ปธน.ทรัมป์ จะไม่สามารถดำเนินการปรับลดภาษีได้ในระยะยาว ซึ่งตามที่เราเข้าใจก็คือ มาตรการปรับลดภาษีนี้ไม่มีแหล่งรายได้ที่จะสนับสนุนงบประมาณของรัฐบาล โดยรัฐบาลคาดการณ์เองว่าจะมีรายได้ชดเชยจากการที่เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น" นายบูว์ กล่าว
นายบูว์ กล่าวด้วยว่า การคาดการณ์ของรัฐบาล ไม่มีแนวโน้มจะเป็นจริง เพราะผลบวกจากการปรับลดภาษีเช่นนี้จะไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการปรับลดภาษีจะทำให้รัฐบาลขาดดุลงบประมาณถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงเวลา 10 ปี
คำกล่าวของนายบูว์ มีขึ้นหลังจากรัฐบาลทรัมป์ เผยแผนยกเครื่องภาษีครั้งใหญ่ ลดการจัดเก็บภาษีทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล โดยเฉพาะภาษีนิติบุคคลหั่นลงเหลือ15% จาก35%
ในขณะที่นายทรัมป์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีใกล้ครบ 100 วัน สมาชิกรีพับลิกันก็พยายามหาทางทำตามคำสัญญา ระหว่างหาเสียงเลือกตั้งในการยกเครื่องกฎหมายภาษี เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจสหัฐ ภาคธุรกิจและครัวเรือน ซึ่งรวมถึงชาวอเมริกันชนชั้นกลางและชนชั้นแรงงาน
"ภายใต้แผนของทรัมป์ เราจะมีการลดภาษีครั้งใหญ่สำหรับภาคธุรกิจและปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่" นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐแถลงที่ทำเนียบขาว
ภายใต้แผนดังกล่าว จะมีการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลสู่ระดับ 15% จากปัจจุบันที่ระดับ 35% และปรับลดขั้นบันไดในการคิดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากปัจจุบัน 7 ขั้น เหลือเพียง 3 ขั้น โดยผู้มีรายได้ในขั้นสูงสุดจะเสียภาษีในอัตรา 35% ส่วนอีก 2 ขั้น เสียภาษีในอัตรา 25% และ 10% แต่ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดของวงเงินรายได้ของผู้เสียภาษีในแต่ละขั้นบันได
นอกจากนี้ จะมีการปรับลดภาษีเงินได้ของธุรกิจขนาดย่อม ซึ่งรวมถึงรายได้ส่วนบุคคลของเจ้าของธุรกิจ สู่ระดับ 15% จากปัจจุบันที่ระดับ 39.6%
นายแกรี โคห์น หัวหน้าคณะที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของประธานาธิบดี ซึ่งแถลงแผนดังกล่าวเคียงข้าง มนูชิน ระบุว่ามันเป็นการปฏิรูปภาษีครั้งสำคัญที่สุดนับตั้งแต่ปี 2529 และเป็นหนึ่งในการปรับลดภาษีครั้งใหญ่ที่สุดหนหนึ่งในประวัติศาสตร์อเมริกา