
ถือเป็นวาทะเด็ด ที่ทำให้ประชาชน ชื่นใจ ถูกใจ เพราะนั่นหมายถึง การจะจัดการกับ ขบวนการค้ายาเสพติด ให้สิ้นซาก แบบถอนรากถอนโคลน!
แน่นอนคำพูดนี้ เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก พล.ต.ท.สมหมาย กองวิสัยสุข ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (ผบช.ปส.) ที่กำลังเดินงานตามแผนปฏิบัติการ ปฏิบัติการ สยบไพรี 60/2 กวาดล้างเครือข่ายแก๊งค้ายาระดับอาเซียนของ "นายไซซะนะ" นักค้ายาชาวลาว
เขาเป็นใคร? มาจากไหน? ทำไมคนจึงกล่าวขานถึง!
เพราะเพียงรับตำแหน่งหัวหน้าหน่วยตำรวจปราบปรามยาเสพติดไม่นาน ก็มีผลงานการปราบปรามเครือข่ายยาเสพติด ชิ้นโบว์แดงถึง 2 งาน ในระยะเวลาที่ไม่ห่างกันนัก
งานใหญ่ชิ้นแรก คือการจับกุมผู้ค้ายาเสพติดระดับตำนานอย่าง นายวิจารณ์ แสนลี่ หรือ เล่าต๋า อดีตกำนันตำบลท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ซึ่งเพิ่งพ้นคุกจากคดียาเสพติดไม่กี่ปี โดยระยะแรกที่ออกจากเรือนจำมีข่าวเล่าต๋าไปเป็นชาวสวนกาแฟ แต่หลังจากนั้นไม่นานสายข่าวด้านยาเสพติดก็พบว่า ราชายาเสพติดรายนี้กลับเข้าสู่วังวนผู้ค้ายาเสพติดเช่นเดิม
ตำรวจปราบปรามยาเสพติดภายใต้การนำของ พล.ต.ท.สมหมาย สนธิกำลังทหารและฝ่ายปกครองจับเล่าต๋าและพวกรวม 15 คนได้พร้อมยาไอซ์ 20 กิโลกรัม เงินสดอีก 11 ล้านบาท เมื่อกลางเดือนตุลาคม 2559 ปิดฉากอิสระภาพราชายาเสพติดระดับตำนานรายนี้ลงอีกครั้ง
และ 3 เดือนให้หลัง ก็เริ่มปฏิบัติการ "ชัยยะสยบไพรี60/1" บุกจับ นายไซซะนะ แก้วพิมพา ราชายาเสพติดชาวลาว กลางสนามบินสุวรรณภูมิ ก่อนจะเปิดปฏิบัติการ "ชัยยะไพสยบไพรี 60/2" ขยายผลตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายเครือข่ายยาเสพติดกลุ่มนี้ร่วม 40 จุด ซึ่งหนึ่งในพื้นที่เป้าหมายนั้นเป็นร้านแต่งรถซิ่งของ อัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช หรือ เบนซ์ เรซซิ่ง สามีดาราสาว "แพท ณปภา" พร้อมด้วยลีลาการให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวแบบลูกทุ่ง และวลีเด็ด "ผมจะทำให้มันจนยิ่งกว่าขอทาน"ทำให้ชื่อของ พล.ต.ท.สมหมาย เป็นที่สนใจทันที
พล.ต.ท.สมหมาย เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 34 ซึ่งรุ่นนี้มีความโดดเด่นหลายคน เช่น พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น. และ พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก. หรือ บิ๊กหมู เพื่อนสนิทที่กอดคอกันมาตั้งแต่ยังอยู่ในรั้วสามพราน ซึ่งก่อนที่จะก้าวขึ้นตำแหน่ง ผบช.ปส. พล.ต.ท.สมหมาย เคยทำงานร่วมหน่วยกับบิ๊กหมู มาก่อนในตำแหน่ง รองผบช.ก. และคดีที่ฝากฝีไม้ลายมือไว้ คือ คดีจับ นางไก่และนางกิมเอ็ง 2 พี่น้องนักตุ๋นระดับชาติ คดีโด่งดังของรอบปี 2559
พล.ต.ท.สมหมาย เป็นชาว อ.มหาราช จ.พระนครศรีอยุธยา แต่เติบโตในกรุงเทพมหานคร การเลือกเรียนตำรวจอาจเพราะความฝังใจสมัยเด็ก เห็นพ่อกับแม่ซึ่งเป็นผู้ค้าในตลาดยิ่งเจริญ ย่านสะพานใหม่ ถูกกดดันจากตำรวจ ชีวิตวัยเด็กอยู่ในสังคมที่ค่อนข้างโลดโผน เพราะพ่อทำงานอยู่ในโรงสี และยังเป็นญาติกับเสือชื่อดังหลายคนใน จ.อยุธยา
หลังจากจบโรงเรียนนายร้อยตำรวจ พล.ต.ท.สมหาย เลือกบรรจุเป็นตำรวจครั้งแรกในสังกัด กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน แต่ถูกพ่อแม่ยับยั้งไว้เพราะสมัยนั้นในพื้นที่ภาคอีสานมีการสู้รบอยู่กับคอมมิวนิสต์ จึงต้องขอเปลี่ยนสังกัดไปอยู่ตำรวจภูธร ที่ สภ.ปราสาท จ.สุรินทร์ เพื่อความสบายใจของพ่อและแม่
และสมัยที่รับราชการตำรวจที่ อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ มีการสู้รบอยู่กับเขมรแดง เมื่อไปรับหน้าที่ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าหมวดโจมตี ซึ่งหนีไม่พ้นการต่อสู้ปลิดชีพฝั่งตรงข้ามมานักต่อนัก ในยุคนั้น พล.ต.ท.สมหมาย มี "ขุนพันธ์" เป็นเสมือนไอดอลในการปราบโจร และมี พล.ต.ต.ประมวลศักดิ์ ศรีสมบุญ อดีตนักสืบมือฉมังของสืบเหนือ กองบัญชาการตำรวจนครบาล เป็นแบบอย่างในงานด้านสืบสวน เป็นหนึ่งในทีมงานที่ปิดบัญชี "เล็ก ลำตะคอง" เอเย่นต์ส่งเด็กไปญี่ปุ่น
หลังจากนั้นไปเติบโตในสายงานที่ต้องปิดทองหลังพระ เป็นสารวัตร ที่กองกำกับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ราวปี 2530 ปิดฉากคดีสำคัญ คือการ เช็กบิล "เสือฝ้าย" หรือ สำลี โคกาอิน มือปืนชื่อดังในยุคนั้น
พล.ต.ท.สมหมาย ติดยศ พล.ต.ต. ในตำแหน่ง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ ในระยะเวลาสั้นๆ ก่อนโดนโยกมารับตำแหน่งงานอำนวยการ ในเวลาสั้นๆเช่นกัน ก่อนจะถูกโยกออกไปรับตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ในยุคที่มีความวุ่นวายทางการเมือง แต่เพราะความไม่ยอมใครจึงสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ทำให้ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ไม่ถูกเผาในเวลานั้น
หลังจากนั้นก็ขึ้นตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ก่อนจะย้ายไปทำงานในสังกัด จเรตำรวจ และกลับมาโลดแล่นในงานด้านป้องกันปราบปรามอีกครั้ง หลัง พล.ต.ท.ฐิติราช รับตำแหน่ง ผบช.ก. ได้ดึงตัวมาช่วยงานในตำแหน่ง รอง ผบช.ก. รับหน้าที่งานปราบปรามทั่วประเทศ ก่อนจะได้รับการสนับสนุนจากทั้ง พล.ต.ท.ฐิติราช และ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ให้มาทำหน้าที่ ผบช.ปส. รับผิดชอบงานด้านปราบปรามยาเสพติด!