
ผู้ค้าในตลาดทั้งสองแห่งมีจำนวนรวมกันราว 1,700 ราย ต่างวิตกกังวลว่า หลังจากกรุงเทพมหานครขอคืนพื้นที่แล้วพวกเขาจะได้รับผลกระทบ ไม่มีแหล่งทำมาหากิน เพราะไม่รู้ว่าจะไปใช้พื้นที่ใดค้าขายต่อ แม้ที่ผ่านมากรุงเทพมหานครจะอ้างว่า มีแผนจะให้ผู้ค้าย้ายไปค้าขายในพื้นที่ตลาดซึ่งอยู่ในละแวกใกล้เคียง ซึ่งมีอยู่ 3 แห่ง คือตลาดยอดพิมานซึ่งเป็นตลาดค้าดอกไม้ ตลาดท่าดินแดงที่เป็นตลาดค้าเสื้อผ้า และตลาดส่งเสริมการเกษตรไทยซึ่งค้าขายสินค้าจิปาถะ แต่ผู้ค้าก็ยังคงหวั่นใจเพราะตลาดที่กรุงเทพมหานครระบุถึงนั้นเป็นตลาดเอกชนมีการจัดเก็บค่าเช่าแผงจำหน่ายสินค้าเป็นรายเดือน และที่สำคัญมีค่าแรกเข้า หรือ ค่าแป๊ะเจี๊ยะ ในอัตราสูง
ค้าขายที่ตลาดใต้สะพานพุทธมาตั้งแต่แรกเริ่มรวมเวลากว่า 20 ปีแล้ว โดยเริ่มตั้งแต่กรุงเทพมหานครให้ย้ายมาจากริมคลองหลอด ซึ่งก็ให้ความร่วมมือจนตลาดนี้กลายเป็นที่รู้จักเป็นตลาดกลางคืนที่มีผู้เข้ามาจับจ่ายใช้สอยมากพอควร ทำให้ผู้ค้ามีรายได้พอที่จะเลี้ยงดูครอบครัว บางครอบครัวที่นี่คือแหล่งทำมาหากินจากรุ่นพ่อมาสู่รุ่นลูก หากต้องย้ายออกไปก็ไม่รู้จะไปค้าขายที่ไหน กระทบกับครอบครัวแน่ นางเขมิสา โคกทับทิม ผู้ค้าเครื่องสำอางตลาดใต้สะพานพุทธ บอก
ผู้ค้ารายนี้ อ้างว่า หลังจากทราบข่าวว่า มีประชาชนร้องเรียนไปยังกรุงเทพมหานครว่าสัญจรบนทางย่านสะพานพุทธไม่ค่อยสะดวกเพราะมีแผงสินค้าของผู้ค้ากีดขวาง พ่อค้าและแม่ค้าในตลาดจึงหารือกันเพื่อแก้ปัญหา เพื่อกำหนดทิศทางในการจัดระเบียบพื้นที่กันเองแล้ว โดยมีข้อตกลงให้ผู้ค้าทุกรายเว้นพื้นที่ทางเท้าให้กับผู้เดินถนนได้ใช้ 1.50 เมตร มีการจัดถังขยะไว้ครอบคลุมพื้นที่เพื่อความสะอาด และในการนำสินค้ามาวางจำหน่ายภายในตลาดผู้ค้าทุกรายต้องเร่งจัดเรียงสินค้าให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ห้ามนำรถเข็นและสัมภาระต่างๆ รวมถึงรถเข้ามาจอดกีดขวางช่องทางจราจร ที่สำคัญคือตลาดสะพานพุทธ เป็นตลาดกลางคืน มีการจัดวางสินค้าในเวลาค่ำไม่ใช่ชั่วโมงเร่งด่วน
เราพยายามทำทุกทางเพื่อให้สามารถค้าขายที่นี่ต่อได้ เพราะเท่าที่รู้กรุงเทพมหานครจะให้ย้ายไปที่ตลาดท่าดินแดง แม้อยู่ไม่ห่างจากจุดเดิมมากนัก แต่ปัจจุบันเงียบมาก ไม่ค่อยมีใครไปเดินจับจ่ายซื้อสินค้า ที่สำคัญยังต้องจ่ายค่าเช่าแผงรายเดือนประมาร 3,000 บาท ซึ่งนี่ยังไม่รวมค่าแรกเข้าหรือเข้าแป๊ะเจี๊ยะอีก ไหนจะค่าเดินทาง ค่าที่จอดรถ แต่อยู่ที่สะพานพุทธไม่ต้องจ่าย มีเพียงค่าทำความสะอาดที่ต้องจ่ายเดือนละ 300 บาทเท่านั้น ทุกวันนี้ค่าขายมีกำไรเพียง 300-500 บาท อยู่ได้เพราะไม่ต้องจ่ายค่าเช่าแผง หากย้ายตลาดไปจริงคงเดือดร้อนแน่ นางเขมิสา กล่าว
สอดคล้องกับนายเอกชัย สุขไสย ผู้ค้าเสื้อผ้าสกรีน ตลาดสะพานพุทธ บอกถึงผลกระทบหากต้องย้ายไปขายที่ตลาดท่าดินแดงว่า อาจจะไปไม่รอด เพราะตลาดท่าดินแดงไม่ใช่แหล่งการค้าทุกวันนี้ตลาดค่อนข้างซบเซามาก มีผู้ค้าที่รู้จักกันเคยไปค้าขายที่นั่นมาก่อนแล้ว สุดท้ายขายไม่ออกต้องปิดร้านไป
ผมคิดว่าหากต้องไปขายที่นั้นคงขาดทุนเพราะจะต้องจ่ายค่าเช่าที่ และค่าทำสัญญา ซึ่งเป็นตลาดของเอกชนเขาจะปรับค่าเช่าแผงขึ้นเมื่อไรก็ได้ เคยมีคนรู้จักไปขายที่นั้นเขาก็ขายไม่ได้ ไม่มีคนเดิน ซึ่งผมเองยังมีภาระที่ต้องส่งลูกเรียนหนังสือ และการขายที่สะพานพุทธก็ไม่ได้มีกำไรมากเพียงแต่ไม่มีค่าเช่า พวกเราพร้อมที่จะจัดระเบียบสะพานพุทธให้ดีกว่าเดิม พร้อมให้ความร่วมมือ ขอเพียงความเมตตาจากผู้ใหญ่ทางกรุงเทพมหานครให้พวกเราค้าขายที่สะพานพุทธต่อไป เพราะหากย้ายไปขายที่ตลาดท่าดินแดงคงขาดทุนไม่ได้กำไร นายเอกชัย กล่าว
บริเวณตลาดสะพานพุทธนอกจากจะมีผู้ค้าทั่วไปแล้ว ปัจุบันยังมีกลุ่มนักศึกษาใช้เป็นสถานที่หารายได้ระหว่างเรียน โดยการนำผลงานทางศิลปะไปวางจำหน่าย เช่น นายบัลลังค์ เชยบาล นักศึกษา สถาบันด้านศิลปะในละแวกใกล้เคียง ซึ่งนำภาพวาดผลงานของตัวเองไปวางจำหน่ายที่ตลาดสะพานพุทธ บอกว่า เป็นเด็กต่างจังหวัดที่เข้ามาเรียนที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งฐานะทางบ้านไม่สู้จะดีนัก แต่ละเดือนต้องทำงานหาเงินจ่ายค่าเช่าห้องพัก หาค่าเทอมเอง รายได้หลักมาจากการจำหน่ายภาพวาดให้กับผู้ที่เข้ามาจับจ่ายสินค้าตลาดใต้สะพานพุทธ หากตลาดถูกย้ายไปก็ไม่รู้ว่าจะไปวางจำหน่ายงานศิลปะที่วาดขึ้นที่ไหน
มันกังวลมากครับ ผมไม่รู้จะทำอย่างไรดี ทุกวันนี้รายได้หลักมาจากการขายภาพวาดที่นี่ หากไม่มีตลาดแล้วก็ต้องย้ายไปที่อื่นซึ่งต้องมีค่าเดินทางอีก ก็คงเดือดร้อนแน่ๆ นายบัลลังค์ บอก
ผู้ค้าดอกไม้ที่ปากคลองตลาด ซึ่งกรุงเทพมหานครมีแผนจะให้ย้ายไปค้าขายที่ตลาดยอดพิมาน ก็มีความกังวลไม่แตกต่างจากผู้ค้าที่ตลาดสะพานพุทธ โดยนางประภัคศร อนันทมณี ซึ่งขายดอกดาวเรืองอยู่ในตลาดปากคลองมานานกว่า 20 ปี บอกว่า อยู่ไม่ไหวแน่ๆ หากต้องไปจำหน่ายยังตลาดที่กรุงเทพมหานครแนะนำ เพราะเท่าที่ไปหาข้อมูลทราบว่าทางเจ้าของตลาดกำหนดค่าเช่าแผงไว้แล้วคือขนาด 1 ตารางเมตร คิดค่าเช่าเดือนละ 8,000 บาท ซึ่งขายได้วันละ 8 ชั่วโมง
ค่าเช่าแผงสูงมากเขาจัดโต๊ะขนาด 1 เมตรไว้ให้ คิดค่าเช่าเมตรล่ะ 8,000 บาท ขายได้ 8 ชั่วโมง หากขายเกิน 8 ชั่วโมงก็ต้องจ่ายเพิ่มเป็นชั่วโมง ฉันขายดาวเรืองเป็นพันๆดอกต่อวัน โต๊ะที่เขาให้เช่าแผงมีขนาดเมตรเดียว วางพวงมาลัยได้เป็นร้อยๆพวงก็จริง แต่มันไม่พอกับการวางดอกดาวเรืองของฉัน ก็ต้องเช่าพื้นที่เพิ่มคำนวณแล้วค่าเช่าไม่น้อยกว่า 40,000 บาท นี่ยังไม่รวมค่าสัญญาแรกเข้า หรือค่าแป๊ะเจี๊ย 5 ปี ต้องจ่าย 1ล้านบาท หากจะต้องจ่ายต่ำสุดก็ 500,000 บาท ที่ข่าวออกๆกันว่าเสีย 50 บาทค่าเช่า อยากถามว่ามันอยู่ตรงไหน เพราะความเป็นจริงแล้วไม่มี นางประภัคศร กล่าว
ผู้ค้าดอกไม้รายนี้ ให้ข้อมูลด้วยว่า หากอยู่ในพื้นที่เดิมไม่ต้องจ่ายค่าเช่าแผงมีเพียงค่าทำความสะอาดเดือนละ 300 บาท และนานๆ ครั้งจะต้องจ่ายค่าปรับให้กับเทศกิจในความผิดที่ทำให้พื้นที่สกปรกครั้งละ 500 บาท ซึ่งหากค้าขายที่เดิมขายได้ตลอด 24 ชั่วโมง แต่หากไปขายที่ใหม่ขายได้เพียง 8 ชั่วโมง ค่าเช่าที่ก็แพง วิธีการที่จะให้อยู่รอดได้คือขึ้นราคาดอกไม้ แล้วใครจะซื้อ พอไม่มีคนซื้อก็ล้นตลาด ขายไม่ออก เกษตรกรจะทำอย่างไร
นี่ลูกน้องที่ร้านเขาก็เป็นห่วงมาถามฉันทุกวันว่าจะไล่เขาออกหรือไม่ ฟังแล้วใจหายเพราะหลายคนอยู่ด้วยกันมานานเหมือนญาติ แต่เมื่อถึงเวลาไปไม่ไหวจริงๆ ก็อาจต้องทำอย่างนั้น ก็คงต้องให้เขาออกก็ต้องเลิกจ้างกันไป ผู้ค้าดอกไม้ตลาดปากคลอง กล่าว
ความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นทำให้ผู้ค้าวิตกถึงผลกระทบเพราะไม่มั่นใจว่าหากไม่มีพื้นที่ค้าขายที่นี้แล้วจะไปทำอะไรที่ไหนเพื่อให้สามารถมีรายได้พอเลี้ยงชีพ