มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ชี้กรณีแม่ฆ่าลูกสะท้อนสังคมอ่อนแอ

นายจะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวถึงกรณีแม่น้องไอแอลถูกสังคมประนามว่าเป็นแม่ใจยักษ์ หลังนำศพลูกไปซ่อนในตู้ และนำออกไปทิ้งที่หลังห้องน้ำ พร้อมแจ้งตำรวจทำทีให้มาตามหาว่าลูกหายไปนั้นว่า สังคมต้องเข้าใจและไม่ผูกความคาดหวังให้ผู้หญิงที่เป็นแม่ต้องแบกรับภาระที่หนักเกินไป ปัจจุบันสังคมไทย ชายเป็นใหญ่ทำให้ผู้หญิงไม่มีทางเลือก จากแนวคิดดังกล่าวทำให้แม่น้องไอแอลได้รับผลกระทบคือ 1 ต้องแบกรับความเครียดเพียงคนเดียว 2 ต้องติดคุก และ 3 ถูกสังคมประนาม ถือว่าไม่เป็นธรรมกับผู้หญิงคนหนึ่ง

อย่างไรก็ตามต้องถือว่ากรณีนี้เป็นกรณีพิเศษ ต่างจากเคสที่มูลนิธิที่เคยเจอมา เนื่องจากพ่อแม่ไม่ได้หย่าร้างกันเพียงแต่สามีไปทำงานที่กรุงเทพฯ ปล่อยให้ผู้หญิงคลอดลูกที่บ้านเกิด และเลี้ยงดูลูกกับผู้สูงอายุที่บ้าน

ทั้งนี้สังคมมักคาดหวังว่าคนเป็นแม่ต้องดูแลรับผิดชอบลูก เพราะแม่ผู้หญิงต้องทำงานบ้าน เลี้ยงลูก ส่วนเพศชายไปทำงานนอกบ้าน หาเงิน มีความเป็นผู้นำ และ คนเป็นแม่จะต้องเลี้ยงดูลูกได้ดี แต่ในความเป็นจริงครอบครัวไทยไม่ใช่ครอบครัวที่สมบูรณ์ มีผู้หญิงตั้งท้องจำนวนมากต้องกลายเป็นแม่เลี้ยงเดียว จากแนวคิดหลักของสังคมเช่นนี้ ทำให้มีแนวโน้มว่า แม่ลูกอ่อนหรือหญิงหลังคลอดจะทำร้ายลูกตัวเองเพิ่มมากขึ้นปรากฏให้เห็นตามข่าวในสื่อต่างๆ

นายจะเด็จบอกว่า สังคมควรจะเข้าใจบทบาทของความเป็นแม่ และไม่ควรยัดยัดเยียดภาระให้ ผู้ชายและคนในครอบครัว ควรมีส่วนร่วมในการดูแลชีวิตใหม่ที่เกิดมา สำคัญที่สุดคือ รัฐสวัสดิการจะมาช่วยแก้ปัญหาดังกล่าว เช่นการให้สิทธิ์ลาคลอดที่เพิ่มมากขึ้นตามข้อเรียกร้องของกลุ่มแรงงาน เนื่องปัจจุบันหญิงผู้หญิงสามารถลาคลอดได้ 90 วันแต่ข้อเรียกร้องขอให้ยืดระยะเวลาลาคลอดเป็น 180 วัน ส่วนผู้ชายมีสิทธิ์ลาช่วยภรรยาเลี้ยงลูก 15 วัน เฉพาะหน่วยงานราชการแต่ในบริษัทเอกชน ไม่มีสิทธิ์ลาส่วนนี้ให้กับผู้ชาย

นอกจากนี้รัฐสวัสดิการ เช่นมารดาประชารัฐ ควรจะผลักดันให้เกิดขึ้นจริง และสนับสนุนให้มีกองทุนพ่อเลี้ยงเดี่ยว แม่เลี้ยงเดี่ยว เพื่อช่วยเหลือครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์พร้อม โดยหลังจากที่คลอดลูกมารัฐควรดูแลต่อ ด้านการศึกษา พัฒนาศูนย์พัฒนาเด็กเล็กให้มีคุณภาพ และสิทธิเรียนฟรี ซึ่งจะทำให้หญิงหลังคลอดมีภาวะเครียดน้อยลง เนื่องจากเห็นอนาคตว่ามีรัฐสวัสดิการรองรับ