การปรับ ครม. ครั้งแรกของ “รัฐบาลเศรษฐา” เริ่มนิ่งและชัดเจน ทั้งในส่วนของพรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมรัฐบาล หลังจากเกิดภาวะฝุ่นตลบ เป้าหมายการปรับถูกขยับจาก 18-19 เมษายน ให้จบภายในสัปดาห์นี้ หรือไม่เกินวันที่ 26 เมษายน
เมื่อทุกอย่างทำท่าจะยืดเยื้อ เพราะมีความพยายาม “ดึงเกมยื้อเวลา” จากบางกลุ่ม ทำให้ผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อไทย และผู้มีอำนาจตัวจริง ต้องเร่งเกมเร็ว ด้วยการ “ตัดจบ” ในส่วนที่เคลียร์เรียบร้อยแล้วเป็นอันดับแรก คือ “ว่าที่รัฐมนตรีหน้าใหม่” ประกอบด้วย
“เผ่าภูมิ โรจนสกุล” สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เป็นรัฐมนตรีช่วยคลัง อีกคนคือ "จิราพร สินธุไพร" หรือ สส.น้ำ จากร้อยเอ็ด ซึ่งมีผลงานในสภาโดดเด่นในช่วงที่เพื่อไทยเป็นฝ่ายค้าน เป็นผู้อภิปรายหลักเรื่อง “เหมืองทองอัครา” และเป็น สส.ที่มีแฟนคลับ เล่นโซเชียลฯเก่ง วานนี้ (23เ เม.ย) มีข่าวว่าทั้งคู่ได้เข้าทำเนียบรัฐบาล และรับเอกสารไปกรอกประวัติ เตรียมเป็นรัฐมนตรีแล้ว
และอีกคนในส่วนของพรรคเพื่อไทย คือ “พิชิต ชื่นบาน” ข่าวล่าสุดมีการไฟเขียว ผ่านฉลุยทุกด่านรอวันแต่งชุดขาว
เมื่อพรรคเพื่อไทยมี “3 ว่าที่รัฐมนตรีใหม่” รวมกับอีก 1 คือ "พิชัย ชุณหวชิร"ซึ่งถูกวางตัวนั่งรมว.คลัง มารออยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นคนที่ต้องเก็บกระเป๋ากลับบ้านต้องมีอย่างน้อย 3 ตำแหน่ง เพราะเก้าอี้รัฐมนตรีโควตาเพื่อไทยมีว่างอยู่เดิม 1 ตำแหน่ง โดยเก้าอี้ที่มีโอกาสหลุดสูง 4 ตำแหน่ง ได้แก่
รทสช. ประกาศไม่ปรับ ครม.
ส่วนฝั่งพรรคร่วมรัฐบาล “รวมไทยสร้างชาติ” ก่อนหน้ามีข่าว รัฐมนตรีหลุดเก้าอี้ คือ นายอนุชา นาคาศัย รมช.เกษตรและสหกรณ์ แต่ล่าสุดได้รับการยืนยันจากปาก “อนุชา” ว่าพรรครวมไทยสร้างชาติไม่มีปรับ ครม.
พปชร.กับเกม “บาลานซ์อำนาจ-โยนเผือกร้อน”
ส่วนพรรคพลังประชารัฐ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค เปิดเผยว่าได้เป็นคนไปส่งชื่อว่าที่รัฐมนตรีใหม่ถึงมือ "นายกฯเศรษฐา" แล้ว โดยเป็นการส่ง 4 ชื่อ ตัวจริง 1 สำรองอีก 3
งานนี้ถือเป็น “เกมเนียน” ของ ร.อ.ธรรมนัส เพราะโดยปกติ ชื่อรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องมีชื่อสำรอง แต่การส่งชื่อสำรอง แต่เหตุที่ต้องส่ง 3 ชื่อ เพราะต้องการ “บาลานซ์อำนาจ” ก็คือ ซื้อใจ “ไผ่ ลิกค์” ซึ่งมีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ ว่าได้ผลักดันอย่างเต็มที่ สุดทาง สุดความสามารถแล้ว หากไม่ได้ ก็เป็นเพราะปัจจัยอื่น ไม่ใช่เพราะตัวเอง
ส่วนการเสนอชื่อสำรอง 3 ชื่อ จากการสนับสนุนของผู้ใหญ่ภายในพรรคหลายกลุ่มวิธีนี้ป้องกันภาวะแตกหักเผชิญหน้า โดยโยนปัญหา หรือ "เผือกร้อน" ให้ "นายกฯเศรษฐา" รับไปแทน
สถานการณ์ยืดเยื้อเรื่องปรับ ครม.ไม่เป็นผลดีกับรัฐบาล เพราะจะลดทอนความเชื่อมั่น ทั้งในสายตาประชาชน และข้าราชการมีแนวโน้มเกียร์ว่าง สุดท้าย “ผู้มีอำนาจตัวจริง” จึงขีดเส้น และเคาะตัดจบให้ได้ภายในสัปดาห์นี้