svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

รัฐมนตรีต่างประเทศสองมหาอำนาจ เตรียมถกเครียด! หลังทรัมป์ขู่แซงก์ชั่นรัสเซีย-อิหร่านเพิ่ม

10 เมษายน 2560
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ตลาดการเงินทั่วโลกยังคงจับตาปมร้อนสัปดาห์นี้ ทั้งกรณีที่สหรัฐถล่มซีเรียซึ่งถือหางโดยผู้นำรัสเซียและผู้นำอิหร่านลุกลามเป็นศึกสงครามตะวันออกกลางระลอกใหม่หรือไม่ ซึ่งสองรัฐมนตรีต่างประเทศของสองมหาอำนาจ Rex Tillerson - Sergey Lavrov เตรียมถกเครียดที่กรุงมอสโกระหว่างวันทื่ 11-12 เม.ย. หลังทรัมป์ขู่แซงก์ชั่นเพิ่มเติมทั้งรัสเซียและอิหร่าน

ขณะที่เครมลินออกแถลงการณ์เมื่อวันอาทิตย์ถึงการพูดคุยโทรศัพท์สนทนาระหว่าง Vladimir Putin ประธานาธิบดีรัสเซีย และ Hassan Rouhani ประธานาธิบดีอิหร่าน นำมาซึ่งประกาศสนับสนุนรัฐบาลซีเรียต่อสู้กับการเปิดฉากโจมตีของสหรัฐเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยที่ทั้งสองผู้นำประกาศว่าจะร่วมมือกันทั้งด้านการเมืองและทางการทูตเพื่อต่อสู้กับการก่อการร้าย และเพื่อให้มั่นใจวาจะรักษาเสถียรภาพในตะวันออกกลาง
ขณะเดียวกันทรัมป์เพียงแต่เขียนในทวิตเตอร์หลังพบปะกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เพียงแค่ว่ายินดีในมิตรภาพที่ดีต้อกันของสหรัฐและจีน โดยที่เขาจะรอฟังสิ่งที่จะมีการแก้ไขให้ถูกต้องต่อไป ตามรายงานข่าวบอกเพียงว่าผู้นำทั้งสองได้พูดคุยหารือกันหลายเรื่องทั้งที่มีความคิดเห็นคล้ายกันและแตกต่างกัน ตั้งแต่ประเด็นเกาหลีเหนือไปจนถึงประเด็นเรื่องการค้า แต่ทรัมป์ได้ปฏิเสธที่จะตอบคำถามของผู้สื่อข่าวทั้งในเรื่องซีเรียและเกาหลีเหนือ
1.สองรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ Rex Tillerson และ Sergey Lavrov รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เตรียมถกหนัก 11-12 เม.ย.นี้ ปมร้อนสงครามซีเรียระเบิดหรือไม่ หลังกองทัพสหรัฐเดินหน้าถล่ม Raqqa ในซีเรียต่ออีกเป็นระลอกสอง จนมีผู้เสียชีวิต 21 ราย ส่วนมากเป็นพลเรือนชาวซีเรีย โดยปฏิบัติการดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาพุ่งเป้าถล่มเรือที่พาผู้อพยพกำลังหนีออกจาก Raqqa เพื่อข้ามแม่น้ำยูเฟรตีส ซึ่งทางกลุ่ม ISIS ออกมาข่มขู่ว่าจะสังหารทุกคนที่อพยพหนีในครั้งนี้
ทั้งนี้ การโจมตีซีเรียทางตอนเหนือเป็นปฏิบัติการต่อเนื่อง หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์อนุมัติให้ใช้โทมาฮ็อค 59 ลูกยิงถล่มสนามบินจังหวัด Homs ในวันที่ 7 เมษายน ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่า การที่ทรัมป์จะเดินหน้าถล่มซีเรียจนกว่าจะสามารถยึดครองซีเรียได้ และบีบบังคับให้รัฐบาลบาชาร์ อัล อัสซาด ออกจากซีเรียจะเกิดเป็นสงครามเหมือนเมื่อครั้งที่มีการทำสงครามในอิรักและลิเบีย
ขณะที่รัส้ซียประณามการโจมตีซีเรียของสหรัฐว่าเป็นการคุกคามความมั่นคงได้ส่งเรือรบชื่อ Admiral Grigorovich ติดตั้งด้วยขีปนาวุธ Kalibr ออกเดินทางจากทะเลดำไปยังทะเลเมดิเตอเรเนียนแล้ว เพื่อไปรักษาการที่ท่าเรือ Tartus ของซีเรีย ขณะเดียวกับที่เรือรบ 2 ลำของสหรัฐที่ยิงจรวดโทมาฮ็อก 59 ลูก ได้แล่นเข้าสู่ทะเลเมดิเตอเรเนียนแล้วเช่นกัน
นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญทางทหารของรัสเซีย Vladimir Evseev เชื่อว่า การโจมตีฐานทัพอากาศของซีเรียโดยกองทัพสหรัฐในระหว่างที่มีการประชุมของ 2 ผู้นำสหรัฐและจีนที่ฟลอริดาในวันวันศุกร์ที่ 7 เม.ย.นั้น เป็นแผนการที่เตรียมการมาก่อนล่วงหน้า ทั้งนี้เพื่อเป็นการส่งสัญญานให้ทางประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนว่า สหรัฐพร้อมที่จะรับบทตำรวจโลก โดยที่จะสหรัฐจะเข้าไปแทรกแซงปฏิบัติทางการทหารในคาบสมุทรเกาหลีและทะเลจีนใต้

2.หลังจากที่ทรัมป์เปิดฉากสงครามซีเรียสั่งกองทัพสหรัฐถล่มซีเรียเพื่อล้ม รัฐบาลอัสซาด โดยที่เรือรบของสหรัฐยิงจรวดโทมาฮ็อคเข้าไปในซีเรีย 59 ลูก โดยเล็งเข้าไปที่เมือง Ash Sha'irat ในจังหวัด Homs ทางภาคตะวันตกของซีเรีย โดยอ้างเหตุรัฐบาลซีเรียของบาชาร์ อัล อัสซาด ใช้อาวุธเคมีเข่นฆ่าประชาชนที่เมือง Idlib ก่อน
แต่ภาพจากโดรนจองรัสเซีย กลับชี้ว่าประสิทธิภาพโทมาฮ็อกของสหรัฐไม่ได้ผลตามเป้าหมายที่ต้องการทำลายสนามบิน Shayrat ที่จังหวัด Homs กลับทำความเสียหายของสนามบินได้ไม่มากนัก เนื่องจากรันเวย์ยังคงใช้งานได้จากการยิงถล่มของโทมาฮ็อกที่ได้ผลเพรยง 23 ลูก แต่ที่เหลือ 36 ลูกไปตกในพื้นที่นอกเป้าหมายทำให้มีผู้เสียชีวิต 6 คน และบาดเจ็บอีก 7 คน อย่างไรก็ตาม ทางการรัสเซียยิมรับว่า เครื่องบิน MIG-23 ของรัสเซีย 6 ลำที่จอดในสนามบิน Shayrat ได้รับความเสียหายจากการโจทตีของโทมาฮ็อกในครั้งนี้ด้วย

3.ในเวลาที่ใกล้เคียงกัน ทรัมป์ส่งฝูงเรือรบเข้าคาบสมุทรเกาหลี ถือเป็นความท้าทายคิมตองอึนผู้นำเกาหลีเหนือ โดยอ้างประธานาธิบดีสี จิ้นผิง รับรู้ในเรื่องนี้แล้ว โดยที่เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา กองทัพสหรัฐได้ส่งฝูงเรือรบบรรทุกเครื่องบิน USS Carl Vinson ซึ่งเดินทางออกจากท่าเรือสิงคโปร์ไปออสเตรเลีย เปลี่ยนเส้นทางมุงสู่คาบสมุทรเกาหลีแทน โดยทรัมป์อ้างว่าเกาหลีเหนือมีอาวุธนิวเคลียร์ที่เป็นภัยต่อเพื่อนบ้าน ต่อภูมิภาค และต่อสหรัฐ
นอกจากนี้ ทรัมป์พยายามกดดันจีน โดยหวังให้ปลดอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือในช่วงที่พบปะกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้สหรัฐและเกาหลีใต้ร่วมมือกันติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธที่เรียกว่า THAAD โดยที่กองทัพสหรัฐได้ติดตั้ง THAAD เรียบร้อยแล้ว ซึ่งสามารถดัดแปลงจากระบบป้องกันขีปนาวุธเป็นขีปนาวุธโจมตีได้ และถ้าหากติดหัวจรวดนิวเคลียร์ จนทำให้ทางการจีนอดที่หวาดหวั่นและไม่แน่ใจว่า กองทัพสหรัฐอาจจะเล็งจรวดนิวเคลียร์ THAAD ไปยังกรุงเปียงยาง หรือไปที่กรุงปักกิ่งกันแน่

4.อีกหนึ่งปมร้อนของโลก เมื่อประธานาธิบดี อับเดล ฟัตตาห์ อัล-ซิซี ของอียิปต์ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศเป็นเวลา 90 วัน หลังกลุ่ม ISIS ออกมาอ้างว่าอยู่เบื้องหลังก่อเหตุระเบิดโจมตีโบสถ์คริสต์นิกายคอปติก 2 แห่ง ในเมืองตันตา และอเล็กซานเดรีย บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ เมื่อวันอาทิตย์ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 42 คน และได้รับบาดเจ็บมากกว่า 100 คน
โดยผู้นำอียิปต์ประณามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า เป็นความพยายามของกลุ่มก่อการร้ายในการสร้างความแบ่งแยกทางศาสนา และได้สั่งการให้เพิ่มกำลังทหารในการอารักขาสถานที่ราชการ และระบบโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญในประเทศ หลังกลุ่มไอเอสข่มขู่จะลงมือก่อเหตุซ้ำอีก ซึ่งการโจมตีในคอปติกนี้ เคยเกิดขึ้นมาแล้ว 2 ครั้งก่อนหน้านี้ ซึ่งครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ส่วนสาเหตุที่คอปติกถูกโจมตีในครั้งใหม่นี้อาจสืบเนื่องมาจากการที่สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส จะเสด็จเยือนกรุงไคโรระหว่างวันที่ 28-29 เม.ย.นี้ โดยทรงประณามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะคนร้ายเลือกก่อหตุในวัน "ปาล์ม ซันเดย์" ที่เป็นวันรำลึกการเสด็จกลับเข้าสู่กรุงเยรูซาเลมอีกครั้งของพระเยซู

5.หลังจากงานเลี้ยงก่อนเริ่มการประชุมของผู้นำสองชาติที่มาร์อาลาโก ซึ่งเป็นรีสอร์ทส่วนตัวของทรัมป์ ก่อนที่ผู้นำของสหรัฐและจีนที่เริ่มการหารือในวันศุกร์ที่ 7 เม.ย. ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์ได้กล่าวว่า เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับประธานาธิบดีสิ จิ้นผิง และภริยา โดยได้สนทนากันเป็นเวลานาน พร้อมคิดว่าในระยะยาว จีนและสหรัฐต่างมีความสัมพันธ์ที่ดีมาก และเฝ้ารอการพัฒนาสัมพันธ์ระดับทวิภาคีที่จะมีตามมา
โดยที่ผู้นำทั้งสองได้พูดคุยหารือกันหลายเรื่องทั้งที่มีความคิดเห็นคล้ายกันและแตกต่างกัน ตั้งแต่ประเด็นเกาหลีเหนือไปจนถึงประเด็นเรื่องการค้า ซึ่งทรัมป์บอกในทวิตเตอร์ว่าเขาจะรอฟังสิ่งที่จะมีการแก้ไขให้ถูกต้องต่อไป ขณะเดียวกันทรัมป์ได้ปฏิเสธที่จะตอบคำถามของผู้สื่อข่าวทั้งในเรื่องซีเรียและเกาหลีเหนือ
อย่างไรก็ตาม ภายหลังการประชุมกลับไม่มีรายละเอียดมากนัก แต่ช่วงก่อนการเยือนสหรัฐของผู้นำจีนในวันที่ 6-7 เม.ย. ก็มีรายงานว่าการพบกันครั้งนี้ถือเป็นการประชุมครั้งแรกระหว่างผู้นำของจีนและสหรัฐ ตั้งแต่ที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง ท่ามกลางสถานการณ์ระหว่างประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงที่ซับซ้อน การประชุมจึงมีความสำคัญอย่างมากกับการสร้างความสัมพันธ์สหรัฐและจีน ที่เป็นการพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคีในรูปแบบที่มั่นคงจากจุดเริ่มต้นใหม่ ที่จะส่งเสริมสันติภาพความมั่นคงและความมั่งคั่งในเอเชีย-แปซิฟิก และทั่วโลก ซึ่งทั้งสองประเทศควรยึดถือหลักการของการไม่มีข้อขัดแย้ง ไม่มีการเผชิญหน้า มีความเคารพซึ่งกัน และความร่วมมือในการรักษาผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย

logoline