การสรรหาอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง คนที่ 10 เมื่อ 22 ตุลาคม 2563 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สืบพงษ์ ปราบใหญ่ สามารถเอาชนะคู่แข่งด้วยคะแนนเสียงขาดลอยทั้ง 3 สาย คือ สายคณาจารย์ สายเจ้าหน้าที่ และสายนักศึกษา แต่กว่าจะได้เข้ารับตำแหน่งต้องรอนานถึง 9 เดือน เหมือนเด็กทารกรอเวลาคลอดจากครรภ์มารดา
15 กันยายน 2564 ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ ได้รับการสรรหามาปฏิบัติหน้าที่อธิการบดี ตั้งแต่วันที่ 12 กันยายน 2564 ตามมติที่ประชุมสภามหาวิทยาลัยรามคำแหง
เส้นทางในตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง ไม่สู้จะราบรื่น ถ้านับจาก 12 กันยายน 2564 ถึง 24 ธันวาคม 2564 เพียง 3 เดือนเศษก็ต้องกระเด็นตกเก้าอี้ แบบมีเลศนัยโดยที่สภามหาวิทยาลัยรามคำแหง ตั้งโต๊ะแถลงมติถอดถอนอาจารย์สืบพงษ์ ปราบใหญ่ พ้นอธิการบดี โดยให้มีผล 25 ธันวาคม 2564
ช่วงเวลา 3 เดือนที่ อาจารย์สืบพงษ์ พยายามสร้างความเปลี่ยนแปลงภายในรั้วพ่อขุน ทั้งการวางรากฐานแนวคิดการบริหารงาน และนโยบายการบริหารงานสอดคล้องกับสถานการณ์โลกปัจจุบัน ที่กำลังจะขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยไปในแบบที่สัมผัสได้ ไม่ว่าจะเป็นการทำความร่วมมือกับสมาคม องค์กรต่างๆ หรือแม้แต่การพยายามจะสลายขั้วทางการเมืองไม่มีพวกเรา พวกฉัน พวกแก จะมีเพียงพวกเราชาวรามคำแหง
เรื่องกล่าวหาที่ร้ายแรง กรณีที่ดิน 2 แปลง ที่ได้รับมาจากพ่อตา คือ อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม สุพจน์ ทรัพย์ล้อม ที่มีผู้ร้องต่อ ป.ป.ช.
จึงเป็นเหตุให้ชวนสงสัยอย่างยิ่ง และยิ่งทำให้แปลกใจว่า ทำไม จู่ๆ ถึงมียื่น ป.ป.ช.และมีการโหมกระแส ตีข่าวกันอย่างบ้าคลั่งในมหาวิทยาลัย จนในที่สุด วันที่ 24 ธันวาคม 2564 สภามหาวิทยาลัยมีมติถอดถอนอธิการบดี สืบพงษ์ ปราบใหญ่ แม้ต่อมาสภามหาวิทยาลัยออกแถลงการณ์ ว่า เรื่องที่ดิน 2 แปลงที่ยื่นต่อ ป.ป.ช.นั้น ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นการถอดถอนอธิการบดี แต่ก็ยังมีการดำเนินการตรวจสอบต่อไปอย่างต่อเนื่อง เหมือนจะส่งสัญญาณอะไรบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นภายหลังจากการถอดถอนแล้ว นั่นคือ การนำไปสู่การตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง และสอบวินัยร้ายแรง เพื่อหวังผลให้ดร.สืบพงษ์ มีชนักติดหลังถ้าโชคร้ายอาจถึงขั้นไล่ออก หมดอนาคตในมหาวิทยาลัยกันเลยทีเดียว หรือ อาจจะติดโทษทางวินัยและไปต้องข้อบังคับลักษณะต้องห้ามผู้บริหาร จนไม่สามารถเป็นผู้บริหารในมหาวิทยาลัยได้ตลอดชีวิตราชการ
เรื่องที่ดิน 2 แปลงไม่ใช่ประเด็นที่นำไปสู่การถอดถอน ก็จริง แต่จะเป็นประเด็นนำไปสู่แผนการหลังการถอดถอน เห็นได้จากความกระตือรือร้นของสภามหาวิทยาลัยงในการหยิบยกประเด็นข้อร้องเรียนเรื่องที่ดิน 2 แปลง นี้มาเร่งรีบพิจารณา และมีมติตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงและวินัย ทันที
เรื่องที่สภามหาวิทยาลัยรามคำแหง นำมาชี้มูลว่ามีการร้องเรียนของ "นายฉัตรชัย ปางสนทิ" ทั้งที่ไม่เคยมีการตรวจสอบ เพราะเมื่อนำหนังสือร้องเรียนนี้ มอบอำนาจให้คนไปร้องทุกข์กล่าวโทษที่ สน.หัวหมาก ความจริงจึงปรากฏว่า "ฉัตรชัย ปางสนทิ" ไม่มีตัวตน หรือคนนี้เป็น "ผี" ที่ใครกันสร้างขึ้นมา