ผศ.ดร.สืบพงษ์ ปราบใหญ่ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง เปิดใจกับบุคลากร เจ้าหน้าที่ และนักศึกษา ม.รามคำแหง หลังจากที่ประชุม สภามหาวิทยาลัยรามคำแหง มีมติปลดออกจากตำแน่ง โดยเปิดใจทุกประเด็น ทุกปมที่ถูกกล่าวหา นับตั้งแต่สร้างความแตกแยก การไม่เรียกประชุมกรรมการสภามหย และปมที่ดินที่ได้รับมาจากพ่อตา มีผู้นำไปร้องต่อ ป.ป.ช.
"ทุกท่านคงทราบดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม ตั้งแต่ 20 ต.ค.63 ที่มีการสรรหาอธิการบดี หลังจากนั้น คนที่พวกเราได้สรรหาผู้ชนะคือผม จากวันนั้นถึง 13 ก.ย.64 เหมือนผมอยู่ในครรภ์มารดาเกือบ 9 เดือน ไม่คลอดสักที
วันที่ 12 ก็มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พวกท่านทราบไหมครับว่า ตลอดระยะเวลา 9 เดือนเกือบ 10 เดือนที่รอคอยมีเหตุการณ์อะไรที่เกิดขึ้นกับผมบ้าง มีการร้องเรียนไปยังหน่วยงานของภาครัฐ หลายหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน สภามหาวิทยาลัยของเราเอง ร้องที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ในการร้องเรียนนั้นแบ่งออกเป็น 2-3 ประเด็น
ประเด็นแรก ผมมีส่วนเกี่ยวข้องกับพ่อตา (นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม) และมองว่าคุณสมบัติของผมไม่ถูกต้องต่าง ๆ นานา
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหนังสือร้องเรียน ปรากฏว่า ถูกมือที่เรามองไม่เห็นใช้บัตรนักศึกษานะครับ ซึ่งตอนหลังนักศึกษาเรานั้น ทั้งที่มีตัวตน และไม่มีตัวตน ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นว่า พวกเขาไม่รู้เรื่องเลย นักศึกษาของเรามีทั้งปีหนึ่ง ปีสี่ และบางคนกำลังจะจบการศึกษา พวกเขาไม่รู้เลยว่าเขาถูกเอาบัตรนักศึกษาของพวกเขา มาใช้เป็นเครื่องมือในการให้ผมถูกร้องเรียนนั้น
ต่อจากนั้นบางคนไม่มีตัวตนแต่สภามหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้ตั้งกรรมการตรวจสอบผมตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ มีนาคม และเมษายน ทั้งที่ไม่มีตัวตน แต่ตรวจสอบเกือบ 3 เดือนเต็ม และก็ได้มีหนังสือออกจากทางมหาวิทยาลัยในช่วงวันที่ 31 พฤษภาคม ทุก ๆ ครั้งที่มีหนังสือส่งออกจากมหาวิทยาลัยไปจะมีข้อร้องเรียนใหม่ๆ เกิดขึ้น
จนกระทั่งผมมีความรู้สึกว่ามันเกิดอะไรขึ้นในเมื่อคุณตรวจคุณสมบัติของผม ในการเข้ามาดำรงตำแหน่งอธิการบดีในการสรรหาตรวจสอบแล้วสภาแห่งนี้เป็นผู้ตรวจสอบเอง และรับรองแล้ว แต่หลังจากนั้นใครก็ไม่รู้ที่มองว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันทำลายคุณสมบัติและความเป็นอธิการบดี
หลังจากนั้นพอโปรดเกล้าฯ ดำรงตำแหน่งเราก็จะได้เห็นว่าสภามหาวิทยาลัย ไม่มีนายกสภามหาวิทยาลัย มาตั้งแต่เดือนกันยายน วันที่ 1 กันยายน 63 เนื่องจากนายกสภาฯ ได้ลาออกไม่มีไม่มีนายกสภาฯ ตลอดระยะเวลาหนึ่งปี ไม่เข้าใจว่ามหาวิทยาลัย รออะไรอยู่ แต่เหตุการณ์พอผมรับตำแหน่ง เรามองว่ามหาวิทยาลัย ต้องขยับไปข้างหน้าก็ได้คุยกับในกลุ่มผู้บริหารในส่วนของมหาวิทยาลัย
ที่ว่าผม สร้างความแตกแยก ผมก็ยังงงตัวเองเหมือนกันว่า ไม่ได้อยู่ในที่ประชุม แล้วจะสร้างความแตกแยกอย่างไร
หลังจากนั้นยังไงครับ หลังจากนั้นก็มีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นผมชื่อว่าหลายคนได้เห็นภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ การประชุมเมื่อเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 64 ก็ได้มีวาระที่ไม่ได้บรรจุอยู่ในวาระ วาระจร เรื่องที่ 1 ที่เข้าไปคือขอให้แก้ไขข้อบังคับสภามหาวิทยาลัย ในเรื่องของการสรรหานายกสภาฯ ไม่เข้าใจว่าอยู่มาตั้งนานพ.ร.บ.เดิมที่ใช้มาตั้งนานตั้งแต่ 2541 ที่ประกาศโดยท่านประภาส อวยชัย มีข้อบกพร่องตรงไหนทำไมจึงรีบแก้ในช่วงเวลาสั้นสั้นแบบนี้
หลังจากนั้น พอวาระ 6.1 เข้ามาก็มีการรับรองมติเลย แต่เนื่องจากว่าวันนั้นอุปนายกฯ ได้ลาป่วย ข้อบังคับนั้นมันก็ยังไม่เกิดพอวันที่ 9 พฤศจิกายน 64 ตอนเช้าก็มีหนังสือลาออกจากท่านอุปนายกฯ ลาออก ทำให้องค์ประกอบสภา ที่ผมมองแล้วแล้วก็คุยกับเพื่อนๆ ผู้บริหารมันจะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อเราไม่มีนายกสภาฯ ไม่มีอุปนายกฯ ด้วยความสงสัย และไม่ใช่นักกฎหมายเราอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงอว. เราก็ทำหนังสือไปถามว่าในกรณีนี้เราจะต้องดำเนินการอย่างไรเราก็รอคำตอบจากกระทรวงอว. ซึ่งยังไม่มีคำตอบมา
หลังจากนั้นพอวาระที่ 6.1 ก็มีวาระเพิ่มขึ้นมาคือ 6.2 แต่ว่าตอนประชุมนั้นไม่ได้มีใส่ไว้ในวาระเป็นหนังสือ และใช้คำว่านายฉัตรชัย บางสนธิ ร้องในเรื่องของการที่ผมสร้างความแตกแยกในมหาวิทยาลัย ซึ่งที่ประชุมก็มีมติมอบให้ผมไปดำเนินการ ผมก็เอาหนังสือฉบับนี้มอบอำนาจให้คนไปร้องทุกข์กล่าวโทษที่ สน.หัวหมาก ปรากฏว่า สน.หัวหมาก ก็บอกว่าไม่มีตัวตนในสภามหาวิทยาลัย อันทรงเกียรติเราจะตั้งสอบหรือว่าตั้งข้อหาใครสักคนหรือให้แก้ปัญหาในเรื่องใดสักคนเรายังไม่ตรวจสอบเลยว่าหนังสือนี้ข้อเท็จจริงเป็นประการใดแต่เอามามอบให้ผมแล้วก็ เลขาของสภาอ่านเหมือนกับเป็นการประจานเหมือนกับเป็นการหมิ่นประมาทผม
หลังจากเหตุการณ์นั้นวาระนั้น ก็มีการปิดประชุมผมก็ทำเรื่องต่าง ๆ ไปถามกระทรวงอว. และรอคำตอบผมไม่ได้รับคำตอบว่าจะสามารถดำเนินการประชุมได้หรือไม่ถ้าในสิ่งที่เกิดขึ้นกับ มหาวิทยาลัยอื่น ๆ ที่มีการตีความของกฤษฎีกา ก็มีการพูดกันเรื่องขององค์ประกอบว่าครบหรือไม่ครบต้องตีความยังไงก่อน แต่ว่าความที่เราไม่รู้ว่าที่ผ่านมาเราจะทำถูกหรือทำผิดในการที่เราถามไปที่ผู้บังคับบัญชา หน่วยที่บังคับบัญชาเราอยู่ผมเชื่อว่ามันเป็นความบริสุทธิ์ใจ ที่ผมจะทำในสิ่งที่ถูกต้องให้กับมหาวิทยาลัย
ถ้าทางกระทรวงอว. ตอบมาว่าทำได้เราก็ทำ ถ้าตอบว่าทำไม่ได้ให้เราทำ 1 2 3 4 เราก็จะทำตามคำแนะนำสภามหาวิทยาลัยกรรมการสภาจำนวนแปดคนได้ลงชื่อมาให้ผมเรียกประชุมผมก็ทำหนังสือตอบกลับไปว่าเรากำลังหารือไปที่กระทรวงอว. นั่นหมายความว่า ผมไม่ได้นิ่งนอนใจ และไม่สบายใจในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ว่าเรายังไม่ได้รับคำตอบ ถ้าผมทำแล้วมันเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย ผมก็จะโดนในเรื่องผมทำไม่ถูกอีก
หลังจากหลังจากนั้นก็มีการนัดประชุมว่าให้มีการประชุมกันวันที่ 13 ธันวาคม 64 เนื่องจากไม่ได้รับคำตอบและทางสภามีหนังสือแจ้งไปทางกรรมการสภา ว่าในวันที่ 13 ขอเลื่อนประชุมออกไปก่อนเพราะว่าจะรอคำตอบจากอว. ปรากฏว่าก็มีการประชุมกันเกิดขึ้น แล้วก็มีการเลือกตั้งอุปนายกขึ้นมาซึ่งผมไม่รู้ว่าขั้นตอนต่าง ๆ นั้นในเมื่อไม่ได้มีหนังสือเชิญประชุม แล้วมีการประชุมเลือกอุปนายกขึ้นมานั้นการประชุมชอบหรือเปล่า แต่ก็มีการเลือกอุปนายกเรียบร้อย
แล้วก็วันที่ 24 ธันวาคม 64 ก็มีการนัดประชุมมีวาระการประชุมมากมาย และก็มีวาระสืบเนื่องผมก็เข้าไปประชุมเขาบอกว่ามีวาระที่สำคัญหลายหลายเรื่องปรากฏว่าพวกเราครับในวาระสืบเนื่องให้ผมทำหนังสือชี้แจงเหตุใดถึงไม่มีการเรียกประชุมเป็นข้อๆ ข้อๆ เราก็ทำหนังสือชี้แจงท่านที่ถูกตั้งเป็นอุปนายก ขึ้นมาเราชี้แจงด้วยเอกสาร ที่ประชุมก็มีการพูดคุยให้ผมชี้แจงต่างๆ
จากนั้นที่ประชุมก็เชิญให้ผมออกจากห้องประชุมนับตั้งแต่วินาทีนั้นผมยังไม่รู้เรื่องเลยว่ามันมีมติหรือมีประเด็นอะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวข้องกับตัวผม ก็ได้ยินแต่เพื่อนๆ ผู้บริหารที่อยู่ข้างในออกมาพูดว่า มีการถอดถอน มีการให้ยุติการปฎิบัติหน้าที่
ข่าวสารที่ผ่านมาทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอดีตพ่อตา เรื่องของครอบครัว เรื่องที่ดินทุกอย่างพูดได้เลยว่าเขาให้ในปี 2554 ตอนปลายปี หลังจากนั้นก็มีคดีมีการยึดทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน แล้วทรัพย์ทั้งสองผืนนั้นก็ตกเป็นของแผ่นดินไปเรียบร้อยแล้วผมไม่เคยได้ใช้ประโยชน์อะไรเลยจากตรงนั้นเลย
แล้วก็มีการส่งเรื่องร้องเรียนไปที่ตามข่าวไปที่ ป.ป.ช. ผมก็ไม่เข้าใจว่าจะร้องเรียนผมเรื่องอะไร และผมเชื่อว่าถ้าผมได้รวบรวมเอกสารและปรึกษากับครอบครัวแล้วผมเชื่อว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมันไม่ถูกต้อง มันเป็นสิ่งที่ทำร้ายตัวผม และครอบครัวเป็นการหมิ่นประมาท ซึ่งตรงนี้ในเรื่องคดีทางกฎหมายผมก็จะดำเนินการทางคดี
แล้วก็ส่วนในเรื่องของมหาวิทยาลัยผมอยากถามพวกท่านทุก ๆ คนว่าตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่ผมเข้ามาทำงานผมสร้างความแตกแยกตรงไหน ผมไม่ได้บริหารมหาวิทยาลัยด้วยธรรมาภิบาลในส่วนไหน ผมตั้งไจทำงานทั้งตัวและหัวใจ บางคนไปพูดว่าผมจะทำอะไรไปวันวันอยู่แต่บ้านทำกับข้าวให้ลูก
ผมมาถึงที่นี่หลายหลายคนรู้ดีเจ้าหน้าที่รู้ผมมาถึงนี่ตั้งแต่ 7 โมงครึ่งตั้งแต่มารับตำแหน่งนี้และกลับบ้านคือการเซ็นแฟ้มสุดท้ายบางที 2 ทุ่มบางที 3 ทุ่ม ผมทำงานด้วยหัวใจ และรับใช้ทุกคนด้วยหัวใจไม่เคยเลือกปฏิบัติเราจะเห็นได้ว่าสิ่งที่ผมตั้งใจก็คือต้องการเปลี่ยนรามคำแหง ให้เป็นสมาร์ท university สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการให้บริการนักศึกษาการเปลี่ยนบริการที่จากเดิม รูปแบบเดิม ๆ
ให้โอกาสทุก ๆ คนไม่เคยเลือกไม่เคยนำคำว่าการเมืองมาใช้ไม่เคยเลือกปฏิบัติ ท่านจะเห็นได้ว่าผมได้เอาผู้บริหารหลายๆ คนที่เคยลงสมัครแข่งขันเพื่อทำมาเข้ามาทำงานด้วยกันหาแนวทางที่จะเดินทางไปข้างหน้าว่าเราจะต้องเดินทางผ่านมหาวิทยาลัย ที่พวกเรารักไปในทางทิศทางไหนเราจะเห็นได้ว่าถ้าพวกเราได้ เดินรอบรอบรั้วมหาวิทยาลัย ในช่วงที่ผ่านมามีอะไรเกิดขึ้นบ้างมีการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบไหนและการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบนั้นมันส่งผลให้เกี่ยวข้องกับการศึกษาหรือระบบการศึกษาดีขึ้นไหมหรือส่งประโยชน์ผลประโยชน์ต่างๆ ให้ใครก็อยากให้พวกเราเข้าใจว่าในความตั้งใจของผม
แล้วก็สื่อมวลชนทุกสื่อที่รายงานข้อมูลต่าง ๆ แล้วมันไม่ถูกต้อง อยากให้ท่านพิจารณาดูอีกทีว่าถ้าเป็นตัวท่านเองเป็นครอบครัวท่าน โดนกระทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง นั้น พวกท่านจะรู้สึกอย่างไร