หากพูดถึง “เสี่ยโจ้” นายสหชัย เจียรเสริมสิน นักธุรกิจชื่อดังภาคใต้ ที่เอ่ยนามไปไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะเสี่ยโจ้ทำธุรกิจหลายอย่าง ทั้งธุรกิจค้าไม้,หวยใต้ดิน,และแลกเปลี่ยนเงินตรา แต่ถูกมองจากฝ่ายความมั่นคงว่า น่าจะเข้าข่ายเป็นผู้มีอิทธิพล และค้าน้ำมันเถื่อนมานาน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจมืด หรือสีเทาๆ
เสี่ยโจ้มักเดินทางเข้า-ออกประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านบ่อยครั้ง แต่ส่วนใหญ่อยู่ต่างประเทศ เพราะมีภรรยาอยู่ต่างประเทศ ส่วนหมายจับยังคงพบว่ามีอยู่ แต่เจ้าตัวไม่เคยติดคุกแม้แต่คดีเดียว
หากย้อนรอยคดีเสี่ยโจ้ พบว่าเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2555
เสี่ยโจ้เคยถูกดำเนินคดีร่วมกันนำน้ำมันเชื้อเพลิงที่ยังไม่ได้เสียภาษี เข้ามาในราชอาณาจักร บริเวณน่านน้ำ จ.สงขลา โดยกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ หรือ ปอศ.
เสี่ยโจ้มีคดีอาญาทั้งหมดถึง 14 คดี ทั้งคดีแจ้งความอันเป็นเท็จหรือให้ถ้อยคำเท็จต่อเจ้าพนักงาน,คดีเล่นการพนันสลากกินรวบ,คดีร่วมกันนำของที่ยังมิได้เสียภาษีฯ เข้ามาในราชอาณาจักร,คดีร่วมกันทำให้เสียหายซึ่งเรือของกลางที่เจ้าหน้าที่ตรวจยึด,คดีร่วมกันนำน้ำมันเชื้อเพลิงที่ยังไม่ได้เสียภาษี เข้ามาในราชอาณาจักร,คดีทำขึ้น ปลอมขึ้น ซึ่งดวงตราสำหรับการเดินทางระหว่างประเทศ,คดีตั้งและประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต,คดีปลอมเอกสาร,คดีเรือไม่มีใบอนุญาตทำการประมง แต่ใช้ทำการประมง เป็นต้น
จนกระทั่งวันที่ 4 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ตำรวจเข้าจับกุมเสี่ยโจ้ที่ย่านห้วยขวาง หลังพนักงานสอบสวน ปอศ. ออกหมายจับในคดีค้าน้ำมันเถื่อนเป็นความผิดมูลฐานฟอกเงินเมื่อปี 2558 จากการสอบสวนเบื้องต้นผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ ตลอดข้อกล่าวหา
ทว่ามีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ถึงการทำงานของตำรวจว่า เมื่อตำรวจรับมอบตัว "เสี่ยโจ้" ในคดีต่างๆ หลายคดี และยกเลิกหมายจับไปแล้วหลายหมาย ในช่วงปี 2560-2561 เหตุใดพนักงานสอบสวนจึงไม่ควบคุมตัว "เสี่ยโจ้" ส่งศาล เพราะมีหมายจับในคดีเป็นเจ้ามือสลากกินรวบ และคดีใช้ดวงตราประทับไม้ปลอม ซึ่งมีหมายจับอยู่ชัดเจน การกระทำลักษณะนี้เข้าข่ายช่วยเหลือผู้ต้องหา หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ จนกระทั่ง “เสี่ยโจ้” มาถูกจับกุมได้กลางกรุงเทพมหานคร
วันที่ 6 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ตำรวจนำตัว “เสี่ยโจ้” ส่งอัยการจังหวัดสงขลา
ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบสำนวนคดีฟอกเงิน ปรากฏว่าอัยการแจ้งว่าคดีดังกล่าว “สั่งไม่ฟ้องไปแล้ว” ไม่มีอำนาจควบคุมตัว จึงต้องปล่อย “เสี่ยโจ้”เป็นอิสระ วันเดียวกัน ตำรวจชี้แจงว่า ตอนที่จับ “เสี่ยโจ้” มีหมายจับในสารบบเพียงหมายเดียว คือหมายจับคดีฟอกเงิน ทั้งๆ ที่เสี่ยโจ้มีคดีกว่า 10 คดี และไม่พบหมายจับในคดีที่ศาลพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ให้จำคุก “เสี่ยโจ้” เป็นเวลา 1 ปี 9 เดือน ฐานใช้ดวงตราประทับไม้ปลอมในการเคลื่อนย้ายไม้
โดยตำรวจอ้างว่าตรวจสอบก่อนหน้าการจับกุมแล้วพบว่าไม่มีหมายจับ จึงพยายามสอบถามทางศาลจังหวัดปัตตานี แต่ศาลตอบอย่างไม่เป็นทางการว่า หาสำเนาหมายจับไม่เจอ
ขณะเดียวกันสำนักงานศาลยุติธรรม ออกมายืนยันว่าศาลปัตตานีได้ส่งหมายจับเสี่ยโจ้
ให้กับตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานีแล้วตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2557
ซึ่งเรื่องนี้ร้อนไปถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง
ถ้าปรากฏว่าเป็นความบกพร่องของหน่วยงานใดหรือข้าราชการผู้ใด ก็จะดำเนินการทั้งทางวินัยและอาญาทุกคน
ล่าสุด ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ออกมายอมรับว่า จากการพูดคุยกัน อาจมีเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในข่ายที่จะต้องถูกสอบสวนข้อเท็จจริงทางวินัย ซึ่งทางจเรตำรวจแห่งชาติอยู่ระหว่างการพิจารณาตรวจสอบว่ามีใครบ้าง
และแน่นอนว่าคดีนี้จะต้องมีการตรวจสอบเส้นทางการเงินของเสี่ยโจ้ว่าเกี่ยวข้องกับการค้าน้ำมันเถื่อนหรือไม่
ปฎิเสธไม่ได้ว่า อีกหนึ่งข้อสังเกตุของการไม่นำหมายจับเสี่ยโจ้ลงในระบบ ที่เกิดจากคำสั่งแล้วเกิดการทุจริตหรือเป็นกลเม็ดของตำรวจหรือไม่
ซึ่งมีหลากหลายวิธี เช่น เมื่อศาลออกหมายจับให้ตามที่ตำรวจขอ หรือส่งมาให้ตำรวจดำเนินการสืบจับ พนักงานสอบสวนผู้ขอหมายจับและได้รับมา จะใช้วิธีไม่ทำหนังสือแจ้ง และไม่ส่งหมายจับให้ฝ่ายสืบสวนนำเข้าสารบบ ซึ่งวิธีการนี้ เป็นไปได้ทั้งจากการทุจริตของตัวพนักงานสอบสวนผู้รับหมายจับเอง หรือได้รับคำสั่งแบบไม่มีลายลักษณ์อักษรจากหัวหน้าสถานี
หรือวิธีการที่ พนักงานสอบสวนแจ้งและบันทึกหมายจับเข้าระบบ เพราะกลัวมีความผิดหากไม่นำเข้า แต่หัวหน้าสถานีหรือหน่วยตำรวจไม่ได้สั่งมอบหมายให้ฝ่ายสืบสวนหรือฝ่ายป้องกัน ซึ่งหมายถึงสายตรวจ ตามสืบจับอย่างจริงจัง และไม่ยอมตรวจสอบผลการปฏิบัติทุกระยะจนกว่าจะจับตัวได้
วิธีที่สาม หมายจับผู้ต้องหาสำคัญที่ตำรวจรู้กันว่า “ส่งส่วย” ให้ตำรวจผู้ใหญ่หลายระดับ คนเหล่านี้แม้มีหมายจับ ตำรวจชั้นผู้น้อยก็ไม่กล้าไปสืบจับ
และสุดท้าย หมายจับผู้ต้องหาสำคัญบางคดี โดยเฉพาะ "ผู้มีอิทธิพลที่ส่งส่วยให้ตำรวจผู้ใหญ่" จะรู้กันในหมู่ตำรวจผู้น้อยว่า ไม่ต้องไปสนใจขวนขวายตามจับให้เสียเวลา