สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2564 กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาได้ออกรายงานจัดอันดับสถานการณ์การค้ามนุษย์ (TIP report 2021) โดยจัดให้ประเทศไทยตกอันดับสู่ Tier 2 Watchlist หรือ ประเทศที่รัฐบาลดําเนินการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ต่ำกว่ามาตรฐานและอยู่ในข่ายที่จะต้องเฝ้าระวังปัญหา การค้ามนุษย์
รายงานฉบับดังกล่าวให้เหตุผลว่าประเทศไทยยังคงมีปัญหาการค้ามนุษย์และบังคับใช้แรงงานในหลากหลายอุตสาหกรรม ผู้บังคับใช้กฎหมายไม่สามารถดําเนินคดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีปัญหาการคอรัปชั่น และความเกี่ยวข้องของเจ้าหน้าที่รัฐในการขัดขวางการต่อต้านการค้ามนุษย์ ขาดกระบวนการส่งต่อกรณีการละเมิดสิทธิแรงงานที่อาจเข้าข่ายปัญหาการค้ามนุษย์ พบปัญหาการจัดการในการขึ้นทะเบียนแรงงานข้ามชาติ และกระบวนการคุ้มครองผู้เสียหายยังคงไม่ผ่านมาตรฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความมีอิสระของผู้เสียหายจากสถานคุ้มครองของรัฐ
เครือข่ายองค์กรภาคประชาชาคมมีความเห็นว่า ในช่วงเวลาการทํางานแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ของรัฐบาลตั้งแต่ปีพ.ศ. 2557 จนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยยังไม่สามารถพัฒนามาตราการและดําเนินการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ได้อย่างเหมาะสม แม้ว่าการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์จะได้รับการประกาศ ให้เป็นวาระแห่งชาติ แต่แผนงานและกรอบนโยบายการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ยังไม่สอดคล้องต่อบริบทของ ปัญหาการค้ามนุษย์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย สาเหตุหลักที่ทําให้รัฐบาลไทยไม่ประสบผลสําเร็จในการแก้ไข ปัญหาการค้ามนุษย์ มีดังต่อไปนี้
ประการแรก ปัญหาเชิงโครงสร้างของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์แห่งชาติ และการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียจากการกําหนดนโยบายและการบังคับใช้กฎหมาย เนื่องจากโครงสร้างของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์แห่งชาติ กําหนดให้มีคณะกรรมการที่ประกอบด้วย ผู้แทนจากหน่วยงานรัฐตามตําแหน่งในหน่วยงานนั้น โดยมิได้กําหนดให้มีสัดส่วนของผู้มีส่วนได้เสียอื่นที่มีความหลากหลายเพียงพอ อาทิ องค์กรภาคประชาสังคม ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง และผู้แทนผู้ที่มีส่วนได้เสียโดยตรงจากการบังคับใช้กฎหมาย จึงทําให้คณะกรรมการไม่สามารถกําหนดนโยบายการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ได้อย่างครอบคลุมและเหมาะสม และไม่อาจนําไปสู่การแก้ไขปัญหาเชิงระบบได้
ประการที่สอง การเน้นตัวชี้วัดความสําเร็จจากจํานวนคดีมากกว่าการให้ความสําคัญกับประสิทธิภาพการดําเนินคดีและกระบวนการคุ้มครองผู้เสียหาย ในช่วงที่ผ่านมาสังเกตเห็นได้ว่ารัฐบาลให้ความสําคัญกับตัวชี้วัดด้านปริมาณเป็นหลัก โดยเน้นการวัดผลสัมฤทธิ์จากจํานวนคดีที่มีการจับกุมดําเนินคดีต่อผู้ถูกกล่าวหาและตัวชี้วัดด้านอัตราโทษต่อผู้กระทําผิด
อย่างไรก็ตาม สถิติการดําเนินคดีในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามิได้ แสดงให้เห็นถึงสภาพปัญหาที่แท้จริงของการค้ามนุษย์ในประเทศไทย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีข้อเท็จจริงปรากฏว่ามี บุคคลหรือผู้มีอํานาจต่อพนักงานเจ้าหน้าที่มีความพยายามผลักดันให้เกิด “คดีนโยบาย” เพื่อเพิ่มจํานวนสถิติ การดําเนินคดีค้ามนุษย์ในประเทศไทย รัฐบาลไทยควรให้ความสําคัญกับประสิทธิภาพในการดําเนินคดี การคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหาย กระบวนการส่งต่อผู้เสียหายให้ได้รับการเยียวยาอย่างเหมาะสม และการคุ้มครองเยียวยาผู้เสียหายที่มีความหลากหลายด้านเชื้อชาติ ศาสนา ความเชื่อหรือวัฒนธรรม มากกว่าการมุ่งเน้นไปที่การวัดผลสําเร็จด้านสถิติคดีเป็นหลัก
ประการที่สาม ความล้มเหลวของการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติและผู้ย้ายถิ่นระหว่างประเทศ
รัฐบาลล้มเหลวในการกําหนดนโยบายการจัดการแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย กล่าวคือ รัฐบาลไม่สามารถลดภาระค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนแรงงานข้ามชาติได้ แรงงานข้ามชาติยังต้องพึ่งพานายหน้าเพื่อเข้าสู่ระบบการจดทะเบียนและจัดทําเอกสาร อีกทั้งมีแรงงานข้ามชาติตกหล่นจากระบบการจดทะเบียนจํานวนมาก ปัญหาภาระค่าใช้จ่ายและสถานะทางกฎหมาย ยิ่งเพิ่มความเปราะบางให้แก่แรงงาน และเพิ่มความเสี่ยงจากการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ และนําไปสู่การบังคับใช้แรงงานหรือแรงงานขัดหนี้
ด้วยเหตุนี้เครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคมซึ่งทํางานด้านการต่อต้านการค้ามนุษย์และให้ความช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ จึงมีข้อเสนอแนะดังต่อไปนี้
ข่าว เนชั่นออนไลน์
ภาพ ทำเนียบรัฐบาล