svasdssvasds
เนชั่นทีวี

Lifestyle

ระวัง “ไขมันทรานส์” ภัยอันตรายที่มากับของอร่อย กินง่าย กำจัดยาก ต้นตอของโรค

ภัยสุขภาพ : เตือน “ไขมันทรานส์” กินมากอันตราย เสี่ยงเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดรุนแรงกว่าไขมันอิ่มตัวถึง 10 เท่า!

7 มิถุนายน : "วันโดนัท" (National Doughnut Day)

เรื่องน่ารู้ของวันโดนัท

วันโดนัท หรือ National Doughnut Day เริ่มต้นขึ้นในปี 1938 จัดขึ้นเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่เหล่าสตรีในฝรั่งเศส ได้แจกจ่ายโดนัทให้กับทหารชาวอเมริกัน ทำให้ขนมหวานชนิดนี้แพร่หลายในสหรัฐ หลังสงครามสิ้นลง

รู้หรือไม่ “โดนัท” เคยไม่รูตรงกลางมาก่อน!!

โดนัท เป็นขนมพื้นเมืองของเนเธอแลนด์ มีชื่อภาษาดัตช์ แปลว่า ขนมน้ำมัน (oil cake) ซึ่งในอดีตไม่มีรูอยู่ตรงกลาง เป็นเพียงแป้งทอดที่มีรสหวาน มีทั้งโรยน้ำตาลและไม่โรย หลังชาวยุโรปอพยพไปสหรัฐฯ ราวต้นศตวรรษที่ 17 ได้นำขนมนี้ไปด้วย เมื่อรูปร่างกลมเล็กเท่าลูกวอลนัท ชาวนิวอิงแลนด์จึงเรียกขนมนี้ใหม่ว่า “โด” ที่แปลว่า ก้อนแป้ง บวกกับ “นัท” ที่แปลว่า ถั่ว แม้ตอนนั้นยังไม่มีถั่วผสมเลย แต่ยุคนี้โดนัทโรยหน้าด้วยถั่วมีให้เห็นจนชินตา

ที่มาของ "รูตรงกลาง" โดนัท

โดนัทยังมีรู...แพลงฮิตติดหู กับเรื่องที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อนว่า “รู” มีไว้ทำไม? ในช่วงศตวรรษที่ 19 แฮนสัน เกรกอรี กัปตันเรือชาวเมืองรอคพอท รัฐเมน สหรัฐอเมริกา เจาะรูแป้งโดนัทที่แม่ของเขากำลังจะทอด เพราะคิดว่าการขยายพื้นผิวหน้าของขนมจะทำให้ทอดได้ง่ายขึ้น เพราะแต่เดิมการไม่มีรู ทำให้ขนมแฉะและสุกไม่ทั่ว ชาวเมืองรอคพอทจึงภาคภูมิใจกับรูตรงกลางของโดนัท จนสร้างป้ายทองแดงจารึกเหตุการณ์นี้ไว้เป็นประวัติศาสตร์

ทว่า...โดนัท กลับเป็นอันตรายต่อสุขภาพ หากบริโภคมากเกินไป

ภัยสุขภาพ

“โรคหัวใจและหลอดเลือด” เป็นหนึ่งในโรคร้ายที่คร่าชีวิตคนไทยไปมากที่สุดพอๆ กับ “โรคมะเร็ง” โดยเฉพาะในปัจจุบันที่ไลฟ์สไตล์การกินของคนเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก หลายคนอาศัยฟาสต์ฟู้ด อาหารจานด่วน ขนมหวานที่มีแป้ง น้ำตาล และของทอด เป็นมื้อหลัก เพราะหาซื้อง่าย ตอบโจทย์วันทำงานที่เร่งรีบ แต่อาหารเหล่านี้กลับเป็นตัวการเร่งให้เกิดความเสี่ยง “โรคหัวใจและหลอดเลือด” เนื่องจากมีส่วนประกอบของ “ไขมันทรานส์” (Trans Fat) หรือกรดไขมันทรานส์ (Trans Fatty acid)

ประเทศไทย กับ ไขมันทรานส์ (Trans Fat)

...รู้หรือไม่ ไทย 1 ใน 5 ประเทศแรกของโลกที่ได้รับการรับรองว่า “กำจัดไขมันทรานส์ออกจากอุตสาหกรรมอาหาร” หลังจากมีการออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เมื่อปี  2561 โดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข เผยว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) รับรองว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการกำจัดไขมันทรานส์ออกจากอุตสาหกรรรมอาหาร สอดคล้องตามหลักเกณฑ์ ทั้งด้านการออกกฎหมายควบคุม รวมถึงมีการเฝ้าระวังเข้มงวดอย่างต่อเนื่อง โดยมี 5 ประเทศ ประกอบด้วย ไทย เดนมาร์ก ลิทัวเนีย ซาอุดิอาระเบีย และโปแลนด์

โดยไทยออกกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องไขมันทรานส์ ในการห้ามผลิต นำเข้า จำหน่ายไขมันทรานส์ ฝ่าฝืนมีโทษปรับตั้งแต่ 5,000- 20,000 บาท จำคุกตั้งแต่ 6 เดือน-2 ปี เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภค เนื่องจากมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ชัดเจนว่า "ไขมันทรานส์" เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด

ไขมันทรานส์ คืออะไร?

ไขมันทรานส์ หรือ Trans Fat พบได้ทั้งในธรรมชาติในสัตว์เคี้ยวเอื้อง ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ แต่มีปริมาณน้อย โดยส่วนมากเกิดจากกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วนลงในน้ำมันให้เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัว เป็นโครงสร้างทางเคมีที่แตกต่างไปจากเดิม เรียกว่า “กระบวนการไฮโดรจิเนชั่น” เพื่อช่วยให้อาหารมีอร่อย ทนความร้อนได้สูง ไม่เหม็นหืน เก็บได้นาน และช่วยลดต้นทุนการผลิตได้มาก แต่จากการวิจัยกลับตรวจพบว่ามีอันตรายต่อสุขภาพ นำไปสู่โรคต่างๆ

ไขมันทรานส์มักพบในอาหารที่มีส่วนผสมของ

  • เนยเทียม (Magarine) เนยขาว (Shortening)
  • ครีมเทียม วิปครีม (Non-dairy Creamer)
  • ผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ เช่น ขนมปังกรอบ เค้ก คุกกี้ พาย เวเฟอร์ พัฟฟ์ เป็นต้น
  • อาหารที่ผ่านการทอดโดยใช้น้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไอโดรเจนบางส่วนแบบน้ำมันท่วม ซึ่งต้องใช้อุณหภูมิสูง เพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีลักษณะเนื้อสัมผัสที่ดี กรอบนอก นุ่มใน และมีสีเหลืองน่ารับประทาน เช่น โดนัททอด 
  • ผลิตภัณฑ์อาหารที่ระบุว่ามี เนยเทียม เนยขาว ไขมันพืช เป็นส่วนประกอบ โดยแสดงไว้ที่ส่วนประกอบสำคัญบนฉลากอาหาร 

อันตรายจาก “ไขมันทรานส์”

องค์การเกษตรและอาหารแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization, FAO) และองค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำปริมาณการบริโภคไขมันอิ่มตัวต่อวันไม่ควรเกิน 20 กรัม และปริมาณสูงสุดสำหรับไขมันทรานส์ ไม่ควรเกินประมาณ 2 กรัมต่อวัน หรือต้องไม่เกิน 1% ของค่าพลังงานต่อวัน

ในขณะที่ปริมาณสูงสุดในการบริโภคไขมันอิ่มตัวที่ไม่เกิน 10% ของค่าพลังงาน หรือประมาณ 20 กรัมต่อวัน หรือประมาณ 5 กรัมต่อมื้อ เนื่องจากตระหนักว่าไขมันทั้งสองประเภทเป็นสาเหตุหลักของโรคหัวใจและหลอดเลือด 

ภัยสุขภาพ : “ไขมันทรานส์” กินมากอันตราย เสี่ยงเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด!  รุนแรงกว่าไขมันอิ่มตัว 10 เท่า!!!

โดนัทมีไขมันทรานส์ อันตรายที่มากับของอร่อย

เพราะเหตุใด “ไขมันทรานซ์” จึงทำให้เป็น “โรคหัวใจและหลอดเลือด”

จากรายงานการศึกษาในมนุษย์ พบว่าหากปริมาณกรดไขมันชนิดทรานส์ในอาหารสูง จะสามารถเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL cholesterol) และลดละดับคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL cholesterol) ในเลือดลง หมายถึง คอเรสตอรอลชนิดไม่ดีจะนำคอเรสตอรอลเข้าสู่ผนังหลอดเลือดแดงเกาะติดกับผนังหลอดเลือดไว้ ส่งผลให้หลอดเลือดแดงแข็งและตีบตัน นำไปสู่โรคหัวใจและหลอดเลือดได้ในที่สุด

มีงานวิจัย พบว่าการให้ผู้เข้าร่วมทดลองบริโภคไขมันทรานส์แทนการบริโภคไขมันอิ่มตัวเพียงร้อยละ 1 ของพลังงาน พบระดับคอเลสเตอรอลไม่ดีสูงขึ้น ในขณะที่ระดับคอเลสเตอรอลดีต่ำลง นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยพบว่า การบริโภคไขมันทรานส์แทนคาร์โบไฮเดรตเพียงร้อยละ 2 ของพลังงาน จะมีความเสี่ยงสูงถึงร้อยละ 23 ที่จะเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงงานวิจัยของประเทศเดนมาร์ก ที่พบว่าการบริโภคไขมันทรานส์น้อยลงมีความสัมพันธ์กับการลดลงของอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจทั้งในกลุ่มเพศชายและเพศหญิง

 

กิน “ไขมันทรานส์” เสี่ยงเกิดโรคอะไรได้บ้าง?

  • ลดระดับไขมันชนิดดีในเลือด (HDL cholesterol) เพิ่มระดับไขมันชนิดเลวในเลือด (LDL cholesterol) และไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides) ให้สูงขึ้น เสี่ยงเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด
  • เพิ่มระดับโคเลสเตอรอลรวม (Total cholesterol) เพิ่มความเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด
  • เพิ่มความเสี่ยงการเป็นโรคอ้วน และโรคเบาหวาน ชนิดที่ 2
  • เพิ่มความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง
  • เพิ่มความเสี่ยงการเป็นความดันโลหิตสูง
  • เพิ่มความเสี่ยงการเป็นโรคสมองเสื่อม หรืออัลไซเมอร์

รู้แบบนี้แล้วก็ควรหลีกเลี่ยงอาหารทอดในน้ำมัน รวมถึงขนมที่ผสมเนยเทียม มาการีน และควรเลือกรับประทานอาหารประเภทต้ม นึ่ง แกง ย่าง ยำ อบ กินผักผลไม้ให้มากขึ้น และออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อการมีสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน