svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สุขภาพ

หมอดื้อ เปิดเรื่องเล่าครั้งหนึ่ง "ชีวิตหมอ กับประสบการณ์วิญญาณ"

25 เมษายน 2566
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ชีวิตนั้นไม่แน่นอนและเมื่อจากไปแล้วยังคงวนเวียนอยู่ การทำบุญทำกุศลเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อคนอื่นโดยไม่ต้องคิดว่าจะต้องได้รับอะไรตอบแทน เป็นสิ่งประเสริฐที่สุดในชีวิตและไม่น่าจะสายเกินไปที่มนุษย์ทุกคนจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยความรัก เข้าใจ และไม่ประหัตประหารกัน

ความจริงยังมีอีกมากมายหลายเรื่องในชีวิตของหมอ และเชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะมีประสบการณ์คล้ายคลึงกัน 

อีกหนึ่งบทความที่น่าอ่าน เผยอีกมุมของ หมอดื้อ หรือ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา (หมอธีระวัฒน์) ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha โดยมีข้อความว่า


หมอดื้อ ...เปิดเรื่องเล่า... "ชีวิตหมอ กับประสบการณ์วิญญาณ"

หมอดื้อ เปิดเรื่องเล่าครั้งหนึ่ง \"ชีวิตหมอ กับประสบการณ์วิญญาณ\"
ชีวิตหมอ กับประสบการณ์วิญญาณ
(ตอน 1)

คิดอยู่นานเหมือนกันว่าจะมาบอกเล่า เก้าสิบเกี่ยวกับประสบการณ์วิญญาณหรือไม่ เดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องที่ต้องมาพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์กันต่างๆ นานา แต่คงไม่แปลก ถ้าไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรนะครับ มาเล่าสู่กันฟัง

 

หมอดื้อ เปิดเรื่องเล่าครั้งหนึ่ง \"ชีวิตหมอ กับประสบการณ์วิญญาณ\"
เรื่องแรกที่จะเล่า (ความจริงมีมากมายหลายเรื่อง) น่าจะเป็นประสบการณ์ของหลายๆ คน จนถึงกลายเป็นประสบการณ์หมู่ นั่นก็คือเรื่อง เหตุการณ์สึนามิ ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในวันที่ 28 ธันวาคม 2547

ในช่วงแรกถ้าเรายังจำกันได้ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานใด ภาคใด ทั้งหมอและเจ้าหน้าที่กู้ภัย และสาธารณสุขต่างช่วยกันอย่างพร้อมเพรียงในการค้นหาผู้ที่รอดชีวิตและในการบริบาลรักษา ช่วยชีวิตผู้ที่ประสบเคราะห์กรรม และในเวลา เดียวกันก็มีการช่วยเหลือเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัยให้ไปอยู่ในทำเลใหม่ที่ปลอดภัยกว่าและมีการสร้างที่พักพิงให้หลายตำแหน่ง

ปัญหาความยุ่งยากที่ตามมาก็คือ ผู้ประสบภัยไม่แต่เพียงมีผลกระทบทางจิตใจ ความเครียด วิตกกังวล หดหู่ถึงกับไม่อยากมีชีวิตอยู่ ยังถูกรุมเร้าด้วย โรคประจำตัวที่มีอยู่แล้วและเคยได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นโรคทางสมอง โรคทางอายุรกรรม หัวใจ เบาหวาน ความดัน ไต ตับ และโรคเรื้อรังต่างๆ ทางข้อและกระดูก เป็นต้น โดยต้องขาดตอนการได้รับยารักษาและหลายคนก็พูดเสียงเดียวกันว่าหมอไปกับน้ำแล้ว

หมอดื้อ เปิดเรื่องเล่าครั้งหนึ่ง \"ชีวิตหมอ กับประสบการณ์วิญญาณ\"
เมื่อเวลาผ่านไปเป็นสัปดาห์ถึงเป็นเดือน ถึงแม้ว่าจะมีหน่วยงานทั้งในประเทศและนานาชาติ อาสาเข้ามาช่วยเหลือโดยเข้ามาอนุเคราะห์แจกจ่ายยาให้ผู้ประสบภัย

แต่ปัญหาใหญ่ที่อาจจะทำให้เกิดผลข้างเคียงเพิ่มขึ้นไปอีกก็คือ ยาชนิดเดียวกันหรือประเภท เดียวกัน ชื่อต่างกัน ภาษาต่างกัน ได้ถูกแนะนำให้ทาน ดังนั้นหมายความว่ายาชนิดนั้นๆที่ควรใช้วันละหนึ่งเม็ดกลับกลายเป็นได้วันละสามถึงสี่เม็ด กลายเป็นยาซ้ำซ้อนเข้าไปอีก คณะเล็กๆ ของเราที่นำโดย ภรรยาของหมอและเภสัชกรที่สนิทชิดเชื้อกัน จึงได้รวมกลุ่มประมาณ 60 ถึง 70 คน โดยลงไปเยี่ยมที่หมู่บ้านพักพิงเหล่านี้!!

ทั้งนี้ โดยเป็นการเยี่ยมในแต่ละบ้านและทำบันทึกประจำตัวและครอบครัวถึงโรคประจำตัวที่มีอยู่ ยาที่เคยใช้ถ้าจำได้ และโรคที่เกิดขึ้นใหม่หลังจากเหตุการณ์สึนามิ รวมทั้งรวบรวมยาทั้งหมดที่ได้รับในแต่ละบ้าน แยกแยะประเภทและจัดคำแนะนำใหม่ และถ่ายรูปชื่อยาที่เป็นภาษาต่างประเทศ ที่ไม่ใช่เป็นภาษาอังกฤษ จะเป็นภาษาทางยุโรปและภาษาญี่ปุ่น อิสราเอล เป็นต้น และส่งไปแปลให้ทราบชื่อและประเภทของยา

หมอดื้อ เปิดเรื่องเล่าครั้งหนึ่ง \"ชีวิตหมอ กับประสบการณ์วิญญาณ\"

ในกลุ่มนี้มีหมอและพี่หมออีกท่านหนึ่งที่ร่วมคณะไปด้วย โดยในแต่ละบ้านที่มีการเข้าเยี่ยม ถ้าพบมีปัญหาก็จะโทรศัพท์มาเรียกเราให้เข้าไปตรวจร่างกาย ซักประวัติและทำบันทึกในกระดาษใส่ซองพลาสติก ทั้งนี้ เพื่อจะได้นำไปแสดงให้น้องหมอและพยาบาลที่โรงพยาบาลในพื้นที่ที่มีการเข้ามาเยี่ยมหรือพาไปรักษาต่อที่โรงพยาบาล จะได้ทราบอาการเพื่อทำการตรวจวินิจฉัยด้วยเครื่องมือที่จำเป็นต่อไป

การเยี่ยมบ้านในพื้นที่ยังได้มีการทบทวนทุกสองเดือน เพื่อจะได้ทราบว่าปัญหาที่ได้นำส่งโรงพยาบาลในพื้นที่ ว่าได้รับการแก้ไขแล้วสำเร็จหรือไม่ หรือจำเป็นต้องส่งต่อไปยังโรงพยาบาลใหญ่ต่อไป
ที่เล่ามายืดยาวเป็นการปูพื้นเรื่องว่า ในระหว่างที่ทำงานนั้นพบอะไรบ้าง เมื่อคณะของเราเดินทางไปถึงที่เขาหลัก โดยมีที่พักเป็นโรงแรมที่อยู่ที่นั่น ที่หน้าโรงแรมจะมีหน่วยทหารที่น้องๆคอยช่วยรื้อถอนขนย้ายซากปรักหักพัง โดยที่เรายังไม่ทันเข้าในที่พัก

น้องทหารก็เข้ามาหาแล้วถามว่า พี่ๆเป็นหมอใช่มั้ย พวกผมขอยานอนหลับเยอะๆ ได้ไหม

และก็เล่าให้ฟังว่าเวลาโพล้เพล้ ก็จะเห็นกลุ่มคนเดินมาเป็นหมู่ ส่งเสียงที่จับความไม่ได้แต่ไม่ใช่ภาษาไทยหรือไม่ใช่ภาษาอังกฤษด้วยซ้ำ แล้วก็เดินไปมาทุกเย็นและได้ยินเสียงตอนกลางคืน
พวกเราได้ฟัง ก็ดูเหมือนจะตรงกับที่ทราบมาเลาๆก่อนหน้าว่ามีอะไรแบบนี้ ดังนั้นน้องเภสัชกรจึงสมัครใจอยู่ห้องเดียวกัน ห้องละสี่ถึงห้าคนและแต่ละคน ต่างก็เตรียมบทสวดคาถาตามศาสนาต่างๆ ครบถ้วน

ซึ่งเมื่อเข้าที่พักไปแล้ว และกำลังจะเตรียมลงพื้นที่ยังได้พบกับน้องทหารที่เป็นผู้บังคับการ ได้บอกปัญหาของทหารที่ทำงานอยู่ขณะนี้ว่า อกสั่นขวัญแขวน และอย่างไรก็คงต้องใช้ยาที่ช่วยให้ผ่อนคลาย หรือยานอนหลับนั่นเอง
จะเป็นวันแรกหรือวันที่สองที่พวกเราลงพื้นที่ หมอก็ไม่แน่ใจนัก ตกตอนเย็น ประมาณ 6 โมงเย็นกว่าๆ หมอก็เลยชวนลูกชาย ขณะนั้นน่าจะอายุประมาณ 13 ปี ไปตีเทนนิสที่สนามที่อยู่ข้างๆ ที่พัก

จำได้ว่าตีไปประมาณสามเกม ไฟที่อยู่ริมสนามดับไปหนึ่งดวงเหลือสามดวง ก็มองหน้ากัน ในใจคงไม่ต้องบอกนะครับว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ก็เล่นต่อ เล่นไปได้อีกสักพัก ไฟก็ดับไปอีกหนึ่งดวง
ถึงตอนนี้เลยพยักหน้ากัน และรีบไปเก็บไม้ใส่ถุง เก็บลูกเทนนิสเรียบร้อย กำลังจะเดินออก

หมอดื้อ เปิดเรื่องเล่าครั้งหนึ่ง \"ชีวิตหมอ กับประสบการณ์วิญญาณ\"

เราทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าตึกๆ ขึ้นบันไดมา โดยที่สนามเทนนิสจะมีความสูงอยู่ประมาณชั้นสอง เสียงฝีเท้าวิ่งผ่านประตูเข้าสนามเทนนิส ซึ่งครึ่งทางด้านล่างทึบ และน่าจะมีความสูงประมาณ 1 เมตร และก็เห็นศีรษะเด็กโผล่มาให้เห็นเล็กน้อย และเสียงฝีเท้าก็วิ่งลงบันไดอีกทางไปชั้นล่าง


หมอและลูกตอนนี้ น่าจะอยู่ในสภาวะขนลุกขนชัน แต่ก็เดินไปที่ประตูและเปิดประตูมองไปทางซ้ายก็คือเป็นบันไดที่ขึ้นมาจะเข้าสนามเทนนิส มองไปทางขวาก็คือบันไดที่ลงไปชั้นล่างและที่ได้ยินเสียงฝีเท้าลงไป
หมอเลยถามลูกว่าจะลงไปดูเขาไหมตามที่ได้ยินเสียงฝีเท้า ลูกหมอเลยตอบเสียงเบาๆว่า พ่อข้างล่างมันมืดตึ๊ดตื๋อ และเราก็เห็นลางๆมีของวางระเกะระกะ ลูกบอกว่า...พ่อไปเหอะ

และแล้วพ่อกับลูกก็วิ่งแข่งกันกลับไปอย่างรวดเร็ว ไปที่ล็อบบี้ของที่พักได้เจอเจ้าหน้าที่เลยถามว่าที่ตรงนั้นเอาไว้ทำอะไร ได้รับคำตอบว่าเป็นที่สำหรับเก็บของที่ได้รับความเสียหายจากคลื่นยักษ์ เลยเอามาเก็บไว้รวมกันที่ชั้นใต้ถุน เราก็เลยถามต่อว่า มีอะไรหรือเห็นอะไรอย่างนี้ไหม น้องเค้าก็อ้อมแอ้มว่า ก็ไม่มีอะไรนะครับ

จะยังไงก็ตาม เราสองคนก็เลยวิ่งกลับห้องโดยด่วน และแน่นอนเปิดไฟสว่างจ้าตลอดคืนหลังจากที่เราทำงานเสร็จในพื้นที่ครั้งนี้ กลับมาบ้านที่กรุงเทพได้ประมาณหนึ่งสัปดาห์ หมอฝัน ในฝันนั้นเห็นสตรีน่าจะเลยวัยกลางคนไม่ใช่คนไทย เดินอยู่บนสนามหญ้า และข้างๆมีเด็กผู้ชายขี่จักรยานเล่นอยู่ด้วย คุณน้าท่านนั้น เดินเข้ามาหาหมอและยื่นมือส่งตุ๊กตาเล็กๆให้ซึ่งหมอรับมาและก็ตกใจตื่น

ทั้งนี้ ในช่วงเวลานั้นคงเหมือนกับคนไทยทุกคนที่ได้ทำบุญแผ่ส่วนกุศลให้ผู้ประสบเคราะห์กรรมเหล่านี้ได้ไปสู่สุคติ และน่าจะเป็นเครื่องเตือนใจว่า ชีวิตนั้นไม่แน่นอนและเมื่อจากไปแล้วยังคงวนเวียนอยู่


การทำบุญทำกุศลเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อคนอื่นโดยไม่ต้องคิดว่าจะต้องได้รับอะไรตอบแทน เป็นสิ่งประเสริฐที่สุดในชีวิตและไม่น่าจะสายเกินไปที่มนุษย์ทุกคนจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยความรัก เข้าใจ และไม่ประหัตประหารกัน

ความจริงยังมีอีกมากมายหลายเรื่องในชีวิตของหมอ และเชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะมีประสบการณ์คล้ายคลึงกัน ถ้าไม่เบื่อจะได้นำมาเล่าให้ฟังกันอีกนะครับ

หมอดื้อ เปิดเรื่องเล่าครั้งหนึ่ง \"ชีวิตหมอ กับประสบการณ์วิญญาณ\"
ชีวิตหมอกับประสบการณ์วิญญาณ (ตอนที่ 3)

หมอดื้อ เปิดเรื่องเล่าครั้งหนึ่ง \"ชีวิตหมอ กับประสบการณ์วิญญาณ\"
หลังจากที่หมอเล่าประสบการณ์วิญญาณไปสองตอน ในคอลัมน์สุขภาพหรรษา หมอดื้อ (เผยแพร่วันที่ 24 เมษายนและวันที่ 1 พฤษภาคม 2565) นอกจากที่มีเพื่อน พี่ๆ และน้องๆ ในแวดวงการดูแลรักษาบริบาลคนป่วย ได้มาเล่าประสบการณ์ตนเองให้หมอฟัง ยังมีน้องแซวว่า เดี๋ยวนี้หมอดื้อกลายเป็น “สายมู” ไปซะแล้ว

เลยทำให้หมอเป็นงงมาก ต้องรีบเปิดอาจารย์กู (เกิ้ล) เลยเข้าใจแล้วว่า สายมู คือ “มูเตลู” ที่เป็นบทความในไทยรัฐออนไลน์ เดือนเมษายนปีนี้เอง และเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อเรื่องลี้ลับ ของขลัง ไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ การเสริมดวงโชคชะตา การทำคุณไสย การทำเสน่ห์ต่างๆ คำนี้มาจากหนังสยองขวัญ สัญชาติอินโดนีเซีย ตั้งแต่ปี 1979 ที่มีหญิงสาวสองคนปิ๊งหนุ่มคนเดียวกัน และร่ายรำคาถาต่างๆ

ทั้งนี้ หมอเลยได้อธิบายไปว่า ที่เล่ามาทั้งหมด เป็นเรื่องที่ประสบพบมาด้วยตัวเอง และอีกทั้งมีคนอื่นร่วมอยู่ในเหตุการณ์ด้วย ดังนั้น ถ้าเป็นสายมู ท่าทางจะกลายเป็น “มูหมู่” หรือ “หมู่มู” คือเจอทั้งกลุ่ม


เล่ามายาว มาถึงตอนนี้เป็นประสบการณ์วิญญาณ แต่ท่าทางจะเป็นวิญญาณของหมอเอง ในเหตุการณ์เฉียดตาย (near death) ที่มีหนังฝรั่งหลายเรื่อง อาทิเช่น แฟลทไลน์เนอร์ (flatliner) ที่มีนักเรียนแพทย์เล่นกันเอง ทำให้หัวใจหยุดเต้น และทำการบำบัด ฟื้นคืนชีวิต กระตุกไฟฟ้าหัวใจ ทำให้คลื่นหัวใจที่ราบเรียบไปแล้ว เต้นขึ้นมาใหม่ และเห็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาในชีวิตในขณะที่ตายไปชั่วขณะ และสิ่งร้ายๆที่ทำไปตามมาหลอกหลอนอีกในชีวิตปัจจุบัน

ทั้งนี้ เรื่องประสบการณ์เฉียดตาย อยู่ในความสนใจของหมอและนักวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับทางสมอง สัมพันธ์กับจิต ความทรงจำ ความนึกคิด และอื่นๆ และมีการประชุม เช่น ที่สถาบัน New York Academy of Science ในปี 2013 โดยมีนักจิตวิทยาทางสมอง หมอที่เฉียดตายจากการจมน้ำ ศาสตราจารย์ทางสมอง และทางเวชบำบัดวิกฤติ มีการศึกษาเรื่อยมา กระทั่งต่อมามีการประชุมกันอีกในปี 2019 ในเรื่องเกิดอะไรขึ้นเมื่อหัวใจหยุดเต้น ประกอบด้วย หมอและนักวิทยาศาสตร์ ที่ทำงานในห้องฉุกเฉินทางด้านหัวใจ และในไอซียูทางสมอง และผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาในกระบวนการวิทยาศาสตร์ การปลุกฟื้นคืนชีพ (Resuscitation science) เมื่อหัวใจหยุดเต้น และการดูแลผู้ป่วย หลังจากที่หัวใจหยุดเต้นแล้วและช่วยหัวใจกลับฟื้นขึ้นมา โดยที่สมองอาจจะกลับมาได้ทั้งหมด หรือกลับมาได้บางส่วน หรือยังคงเป็นเจ้าชายหรือเจ้าหญิงนิทราอยู่



ดังนั้น การพยายามที่จะไขสิ่งที่พบในคนที่รอดชีวิตจะเป็นเงื่อนสำคัญ ในการอธิบายการทำงานเชื่อมโยงของระบบต่างๆของร่างกายกับสมอง จิตวิญญาณ ทางวิทยาศาสตร์
เรื่องของหมอเองนั้น เกิดขึ้นจากการที่หมอเป็นไส้เลื่อนที่ขาหนีบทางด้านซ้าย โดยเมื่อเดิน ไอ จามหรือเบ่ง ก็จะตุงและปวดบริเวณนั้น และแม้จะใส่กางเกงในชุดรัดพิเศษก็ทานไม่ไหว เลยตัดสินใจตามที่รุ่นพี่แนะนำว่า ผ่าซะเถอะ

ทั้งนี้ การผ่าไส้เลื่อน ก็ไม่ได้ยุ่งยากซับซ้อนเท่าไหร่ อีกทั้งพี่ดมยา ก็บอกว่า ไม่ต้องดมยาสลบหรอก เป็นการบล็อกหลัง โดยทำให้ชาจากปลายเท้าจนกระทั่งขึ้นมาเลยบริเวณที่จะต้องผ่า ดังนั้น เวลาที่ผ่าก็ยังพูดคุยกันได้อย่างสนุกสนาน ระหว่างพี่หมอผ่าตัด พี่ดมยาและน้องพยาบาลผู้ช่วย

ทั้งนี้ โดยกระบวนการก่อนผ่าตัด ก็จะมีการตรวจสอบว่า มีแพ้ยาอะไรบ้าง รุนแรงแค่ไหน โดยที่หมอเองเคยแขนหักและได้รับยาแก้ปวดมอร์ฟีน ขณะที่ทำการเคลื่อนกระดูกที่หักให้เข้าที่และแพ้ แต่ในตอนนั้นเพียงแต่ความดันตก ยังไม่ถึงกับช็อกและเพียงให้น้ำเกลือบำบัดไม่กี่ชั่วโมงก็เป็นปกติ

หมอดื้อ เปิดเรื่องเล่าครั้งหนึ่ง \"ชีวิตหมอ กับประสบการณ์วิญญาณ\"

บนเตียงผ่าตัด การบล็อกหลังด้วยยาชา หมอที่เป็นคนป่วยเองก็นอนตะแคงคู้เข่า เพื่อให้พี่หมอดมยาแทงเข็มผ่านช่องว่างระหว่างกระดูกสันหลังเข้าไป เพื่อส่งยาเข้าไปในช่องว่างที่มีเส้นประสาทอยู่ และรอจนกระทั่งชาสนิทจริงจากปลายเท้าขึ้นมาจนถึงระดับเหนือสะดือ และนอนหงายเพื่อให้ทำการผ่าตัด

ระหว่างที่เริ่มผ่าตัดนั้น ราบรื่น ยังจำได้ว่าคุยกันสนุกสนาน เล่าเรื่องนั้น เรื่องนี้กัน แต่การผ่าไส้เลื่อนนั้นจะมีกระบวนการที่เข้าไปดึงเยื่อบุช่องท้องบางส่วน และทำให้หมอมีความรู้สึกเหมือนจุกท้อง เลยได้บอกว่า ท่าทางจะไม่ไหว ทั้งนี้ โดยที่ไม่ต้องดมยาสลบ พี่หมอก็ฉีดยาแก้ปวดให้ ที่ไม่ใช่มอร์ฟีน หลังจากนั้นก็ถามไถ่กันว่า น้อง (คือตัวหมอเองที่นอนบนเตียงผ่าตัด) เป็นไงบ้าง ช่วงนั้นเอง เกิดมีอาการเวียนหัว บ้านหมุน คลื่นไส้ จำได้ว่า บอกไปอย่างทุลักทุเลว่า ไม่น่าจะไหว เวียนหัวมากเหลือเกิน ทุกคนก็บอกว่า...ไม่น่านะ เพราะความดันก็...ทั้งนี้ พี่หมอพูดยังไม่ทันขาดคำ ก็บอกว่าความดันตกแล้ว และหมอเองดูเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น

และขณะเวลานั้น เป็นช่วงที่ทรมานมาก มีเวียนหัวคล้ายตัวหมุน แต่ถัดมา อาการเวียนหัวดูเบาลงไปบ้างนิดหน่อย แต่ยังอย่างทรมานอยู่ และกลับมีภาพเหมือนจริง สามมิติทุกอย่าง ตั้งแต่หมอยังเด็กๆ ยืนร้องไห้มองดูฝนตก ที่เม็ดฝนกระทบพื้น มองดูเป็นรูปเก้าอี้ ที่มีพนักหรือเป็นรูปมงกุฎ และขณะนั้นดูหดหู่เหลือเกิน มีภาพที่เล่นกับเพื่อน จับแมลงปอมาเด็ดหาง ผูกเชือกและให้แมลงปอบินไป จับจิ้งหรีดกัดกัน

และยังมีภาพที่เอาไฟไปลนฆ่ามดจนกระทั่งไปติดเสื่อ บ้านจะไฟไหม้ด้วยซ้ำ และเลื่อนไปถึงตอนเป็นเด็กประถม ออกจากโรงเรียนเจอคุณยายอายุมาก หาบขนมมาขาย หมอเอาค่าข้าวที่พอเหลืออยู่บ้าง ให้คุณยายไป โดยไม่ได้รับขนมมา ทำเช่นนี้เป็นประจำ จนวันหนึ่งคุณยายหายไปและไม่เจออีกเลย

ภาพต่างๆ เหล่านี้ ลื่นไหลไปเร็วมาก จนมีภาพที่เสียคนป่วยรายแรกในชีวิต ตอนที่เป็นหมอฝึกหัด และคนป่วยเป็นเพียงผู้หญิงอายุไม่มาก ไปทำแท้งผิดกฎหมาย และเกิดติดเชื้อ เชื้อเข้ากระแสเลือด จนช็อก และทำการผ่าตัด ตัดมดลูกที่ติดเชื้อรุนแรงออก

หมอและพี่หมอแพทย์ประจำบ้าน ยืนน้ำตาซึมกัน คิดกันว่า ทำไมเราช่วยไม่ได้ เราขาดให้ยาปฏิชีวนะอะไรไปหรือเปล่า...
ภาพต่างๆที่ไหลมาดูเต็มไปหมด แต่ทั้งหมดนี้ น่าจะกินเวลาเป็นวินาที คล้ายกับม้วนฟิล์มไปเร็วๆ

หมอดื้อ เปิดเรื่องเล่าครั้งหนึ่ง \"ชีวิตหมอ กับประสบการณ์วิญญาณ\"
และจู่ๆ ความรู้สึกไม่สบาย ทรมานหายไปเป็นปลิดทิ้ง คล้ายมีลมเย็นพัดเข้ามา และเหมือนอยู่ในอุโมงค์ที่เห็นแสงสว่างอยู่ข้างหน้า และตอนนั้น ความรู้สึกคือพร้อมใจ เต็มใจ ที่จะเดินและกำลังเดินไปหาแสงสว่างโดยไม่ได้มีห่วงอะไรเลยอยู่ข้างหลัง
แต่แล้ว ก็กลับมาสู่สภาพนอนอยู่บนเตียงผ่าตัดเหมือนเดิม ยังถามรอบข้างว่า ช็อกไปหรืออย่างไรใช่ไหมครับ พี่ก็บอกว่าแป๊บเดียวเท่านั้น ไม่เป็นไร

ช่วงเวลา “แป๊บเดียว” สำหรับหมอ ดูเหมือนทบทวนสิ่งที่ผ่านมาตั้งแต่สมัยเป็นเด็กจนถึงปัจจุบัน และคล้ายกับหักลบกลบหนี้ไปแล้ว ผลออกมาไม่ต้องห่วงอะไรแล้ว หมอเชื่อว่า พวกเราหลายคนคงจะเจออะไรคล้ายแบบนี้มา บางคนอาจจะน่ากลัว แต่ทั้งหมดทั้งหลายเหล่านี้ น่าจะเป็นเครื่องเตือนใจว่า สิ่งที่ทำมาตลอดนั้น ไม่ได้หายไปไหน และควรจะตอกย้ำพวกเราทุกคนว่า เราจะจากไปเมื่อไหร่ก็ได้ และบุญกรรมที่มาจากการกระทำของตนเอง ของตัวเอง ไม่ว่าโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ชั่วชีวิตจะปรากฏขึ้นให้เห็น

ชีวิตที่คงอยู่ขณะนี้ ทรัพย์สินเงินทองที่มีอยู่ขณะนี้ ถึงเวลานั้น ไม่ได้ช่วยอะไร เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ ช่วยคน ที่ไม่สามารถมีโอกาสที่ดีอย่างที่เรามี เป็นสิ่งที่เราควรต้องทำทุกคน

อีกโพสต์ดีๆ ที่มาพร้อมสาระความรู้ในแบบ-หมอดื้อ- 

ความร้อนยังทำอันตรายจากพิษผ่านผนังลำไส้
ความร้อนไม่ได้ทำอันตรายจาก “ร้อน” อย่างเดียว ที่เกิดฮีทสโตรค
ทั้งร้อน และ/หรือ การออกแรง (exertion) ท่ามกลางความร้อน
มีผล 
* ทำให้เกิดผนังลำไส้รั่วและทำให้พิษของแบคทีเรีย (lipopolysaccharide-endotoxin) ในลำไส้ ซึมผ่านเข้ากระแสเลือด เกิด ฮีท เซปซิส (heat/exertion sepsis)
* จากนั้นจะจุดปะทุ ให้มีการอักเสบเกิดขึ้นทั่วร่างกาย (systemic inflammation)
* การอักเสบส่งผลทำให้เลือดหนืดข้น และทำให้รบกวนการทำงานของทุกอวัยวะรวมทั้งหลอดเลือด
กลไก sepsis นี้ สามารถเกิดได้ โดยที่อุณหภูมิแกนในร่างกาย (core temperature) ที่วัดจากทางทวารหนัก ยังอยู่ ที่ 42 องศา (ดัชนีความร้อน)
และเมื่อเกิน 42 องศาไปแล้ว จะเป็นผลจากความร้อนได้โดยตรงที่ไปหลอก 
เธอร์โมสแตทในสมอง ทำให้ปรับ อุณหภูมิในร่างกายให้สูงขึ้นโดยอัตโนมัติโดยคิดว่าเป็นระดับปกติ ดังนั้น ระบบการระบายความร้อนไม่ทำงาน ไม่หิวน้ำ เหงื่อไม่ออก
ทำให้”เครื่องในสุก”
คอยดู สี ฉี่ กันดีๆ ครับ เราต้องการให้ สีอ่อนที่สุด ดื่มน้ำตลอดแม้ไม่หิว ท่ามกลางดัชนีความร้อนสูงเช่นนี้

ล่าสุด โพสต์เมื่อ 6 นาที !!


 

ความหมายที่แท้จริง และขั้นตอนการปฏิบัติบูชาที่ถูกต้อง ของ ดอกไม้ ธูป เทียน

สังคมไทย โดยส่วนใหญ่แล้วเป็นสังคมชาวพุทธ เนื่องด้วยประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธกว่าร้อยละ 90 และด้วยเหตุนี้ การประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รวมถึงศาสนกิจ เช่น การทำบุญตักบาตร การไหว้พระสวดมนต์ จึงเป็นสิ่งที่พุทธศาสนิกชนยึดถือปฏิบัติมาช้านาน

เป็นที่ทราบกันดีว่า การบูชาพระรัตนตรัยเพื่อประกอบศาสนกิจต่าง ๆ นั้น ชาวพุทธนิยมใช้ ดอกไม้ ธูป เทียน เป็นเครื่องสักการะ แต่จะมีกี่คนที่รู้ซึ้งถึงความหมายที่แท้จริง และขั้นตอนการปฏิบัติบูชาที่ถูกต้อง สรรหามาเล่าในวันนี้ จะมาขยายความเพื่อให้พุทธศาสนิกชนทุกท่านได้รับรู้และเข้าใจ และนำไปปฏิบัติให้ถูกต้องในโอกาสต่อไป

#ธูป ใช้บูชาพระพุทธเจ้า นิยมจุดบูชา 3 ดอก โดยมีความหมายว่า พระพุทธเจ้ามีพระคุณสำคัญ 3 ประการ อันได้แก่

  • พระปัญญาคุณ ทรงรู้ดีรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
  • พระวิสุทธิคุณ ทรงบริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสเรื่องเศร้าหมองทั้งหลาย
  • พระมหากรุณาธิคุณ ทรงสงสารสั่งสอนเวไนยนิกร ทุกถ้วนหน้าโดยไม่เลือก

ในการปักธูปนั้น ที่ถูกต้องให้ปักแยกเรียงกันไปทีละดอก ไม่ปักเป็นกลุ่ม ทั้งนี้เพราะพระคุณของพระพุทธเจ้านั้นแต่ละอย่างแยกเป็นเอกเทศไม่ปนกัน

#เทียน ใช้บูชาพระธรรม นิยมจุดครั้งละ 2 เล่ม โดยมีความหมายว่า คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มี 84,000 พระธรรมขันธ์ กล่าวโดยสรุปมี 2 อย่าง ได้แก่

-​ พระธรรม คือคำสั่งสอนอันเป็นแนวทางปฏิบัติ เช่น การให้ทาน

-​ พระวินัย คือหลักข้อบังคับที่เรียกว่า ศีล เช่น ศีล 5 ศีล 8

เหตุที่ใช้เทียนในการบูชาก็เนื่องจากแสงเทียนที่จุดขึ้นนั้น จะช่วยกำจัดความมืดให้หมดไปและมองเห็นหนทางที่ถูกต้อง เหมือนกับพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าซึ่งหากเกิดขึ้นในจิตใจของผู้ใด ก็ย่อมกำจัดความมืด คือ โมหะในใจให้หมดไป และเป็นเครื่องส่องทางในการดำเนินชีวิต

#ดอกไม้ ใช้บูชาพระสงฆ์ นิยมใช้ดอกไม้สดเพื่อเป็นนิมิตรหมายแห่งความสดชื่น รุ่งเรือง การใช้ดอกไม้บูชาพระสงฆ์นั้น ก็เปรียบได้กับพระสงฆ์เมื่อครั้งยังเป็นฆราวาส ย่อมมาจากตระกูล ขนบธรรมเนียม ประเพณี การศึกษา ตลอดจนนิสัยใจคอที่แตกต่างกัน แต่เมื่อมาบวชอยู่ในพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ย่อมมีความเรียบร้อยสวยงามเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน น่าเคารพกราบไหว้และเป็นที่ศรัทธาเลื่อมใส เปรียบเหมือนกับดอกไม้นานาพรรณที่เกิดจากแหล่งต่าง ๆ เมื่อนำมาจัดใส่พานหรือแจกันให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ย่อมดูสวยงามฉันนั้น

ลำดับขั้นตอนที่ถูกต้องในการสักการะบูชาพระรัตนตรัยนั้น ให้เริ่มจุดเทียนก่อนจุดธูป โดยจุดเทียนทางด้านซ้ายมือของผู้จุดก่อน แล้วจึงจุดทางด้านขวามือ เสร็จแล้วจึงจุดธูป โดยถือคติที่ว่า พระธรรมนั้นเป็นสัจจธรรมที่มีอยู่ก่อนแล้ว พระพุทธเจ้าเป็นผู้ทรงค้นพบสัจจธรรมนั้น

แก้ว 3 ดวง แห่งพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ องค์ประกอบหลักแห่งพุทธศาสนา เป็นสิ่งซึ่งสำคัญยิ่งที่สาธุชนทั้งหลาย พึงรู้และเข้าใจอย่างถ่องแท้ และน้อมสักการะด้วยความเลื่อมใสศรัทธาอย่างถูกต้องสืบต่อไป

ขอบพระคุณ ท่าน อจ นพ ปราโมทย์ ได้ ส่งบทความมาครับ

~~~~~~~~~~~~~~~~

logoline