svasdssvasds
เนชั่นทีวี

Lifestyle

รู้จัก "เทอร์โมสแตทพัง" คืออะไร อันตรายแค่ไหน เช็กข้อมูลกันตรงนี้ มีคำตอบ

รู้จัก รู้ทัน "เทอร์โมสแตทพัง" ภาวะสมองถูกหลอกคืออะไร อันตรายสักแค่ไหน อ่านได้ตรงนี้มีคำตอบ ล่าสุดแพทย์ดังเผย ค่าดัชนีความร้อน ไม่เท่ากับอุณหภูมิธรรมดา แนะเลี่ยงนํ้าหวาน นํ้าชา กาแฟ สุราถ้ายิ่งต้องออกไปกลางแดดนาน

รู้จัก "เทอร์โมสแตทพัง" คืออะไร อันตรายแค่ไหน เช็กข้อมูลกันตรงนี้ มีคำตอบ

อีกบทความทางวิชาการที่น่าสนใจ นำมาฝากคอข่าว แฟนข่าว แฟนหมอดื้อกันตรงนี้ ล่าสุดทางด้านแพทย์ดัง ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา (หมอธีระวัฒน์) ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว (ธีระวัฒน์เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha) โดยมีข้อความระบุไว้ว่า 

“เทอร์โมสแตทพัง” ภาวะสมองถูกหลอก ร้อน ชื้น แดด

ค่าดัชนีความร้อน ไม่เท่ากับอุณหภูมิธรรมดา และสูงขึ้นตามความชื้นสัมพัทธ์ โดยจะค่อยๆ ไปหลอกสมองให้ยินยอมตามจนปรับ อุณหภูมิในตัว (core temperature) สูงขึ้น ภาษาชาวบ้าน อาจจะเรียกว่า “เทอร์โมสแตทพัง”

ทั้งนี้ เมื่อถึงจุดอันตราย ผิวจะแดงแห้งไม่มีเหงื่อ ถึงแม้ชีพจรเต้นเร็วแต่ก็ยังหนักแน่นเสมือนกับว่ายังไหวแต่อวัยวะภายในเริ่ม “สุก”

ประเทศไทยจะมีอากาศร้อนอบอ้าวเกือบทั่วไป จะสูงกว่าค่าปกติ และสูงกว่าปีที่ผ่านมา อากาศร้อน อุณหภูมิ อย่างนี้ ขนาดที่ว่าต้มไข่สุก ด้วยกลางแดดปรอทขึ้นไปถึง 42 องศา 

รู้จัก "เทอร์โมสแตทพัง" คืออะไร อันตรายแค่ไหน เช็กข้อมูลกันตรงนี้ มีคำตอบ

หมอธีระวัฒน์ บอกอีกว่า อุณหภูมิขนาดนี้ ร่างกายจะมีการสูญเสียเหงื่อ นํ้า เกลือแร่มหาศาล คนที่เป็น สว. (สูงวัย) และยังมีโรคประจําตัว เช่น ความดัน ต้องทานยาลดความดันโลหิตอยู่แล้ว มีเส้นเลือดหัวใจ สมองตีบ มีโรคไต การขาดนํ้า เกลือแร่ ทําให้เลือดข้น เกิดการ กําเริบของโรคเส้นเลือดตีบและโรคไต

แม้แต่คนที่คิดว่าแข็งแรงยังหนุ่มสาว การขาดนํ้าเกลือแร่ เมื่อถึงจุดหนึ่ง ศูนย์ควบคุมอุณหภูมิในสมองจะแปรปรวน ทําให้อุณหภูมิในร่างกายสูงเกิน 40 องศา แทนที่ตัวจะมีเหงื่อกลับ แห้ง ตัวร้อนจัด พูดสับสนไม่รู้เรื่อง 

ซึ่งถ้าถึงระดับนี้จะหมายถึงอาการ “ฮีทสโตรก” (Heat stroke) หรือ "อุณหฆาต" คือถึงตายไม่ใช่แค่อุณหอัมพาต อ่อนแรงเฉยๆ 

 

อาการฮีตสโตรก คนไทยอาจจะคุ้นกันดีในชื่อโรคลมแดด โรคลมแดดเป็นภาวะวิกฤติของร่างกาย ที่ไม่สามารถควบคุมความร้อนได้ เนื่องจากอากาศร้อนที่ เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง 5-10 องศาเซลเซียสในระยะเวลาสั้นๆ 

 

สำหรับภาวะนี้ จะทําให้สมองรู้สึกชินชากับ ความร้อนที่ได้รับ จนไม่รู้สึกกระหายนํ้า ทั้งๆที่สมดุลนํ้าและเกลือแร่ในร่างกายเสียหาย ส่งผลให้ระดับความดันเลือดตก เลือดที่มีนํ้าเป็นส่วนประกอบไปเลี้ยงสมอง กล้ามเนื้อ และอวัยวะ ต่างๆไม่เพียงพอ ทําให้เกิดอาการไตวาย หากเป็นมากๆ เซลล์กล้ามเนื้อก็จะเริ่มแหลกสลาย มีของ เสียตกตะกอนในไต ทําให้เกิด ไตวายซํ้าซ้อน และเสียชีวิตในที่สุด

รู้จัก "เทอร์โมสแตทพัง" คืออะไร อันตรายแค่ไหน เช็กข้อมูลกันตรงนี้ มีคำตอบ ฮีทสโตรกสําหรับคนไทยเป็นเพียงการเตือนแบบเบาะๆ ให้ระมัดระวัง ทั้งนี้เชื่อว่าอากาศร้อนในประเทศไทยจะไม่พุ่งสูงอย่างรวดเร็วเหมือนต่างประเทศ ที่ผ่านมาอุณหภูมิในบ้านเรา มักไต่ระดับทีละเล็กละน้อยครั้งละ 1-2 องศาเซลเซียส จาก 35 องศาฯ เป็น 36 องศาฯและจาก 36 องศาฯ เป็น 37 องศาฯ จะไม่เพิ่มขึ้นจาก 35 องศาฯ ทีเดียวไปเป็น 40 องศา การไต่ระดับสูงขึ้นทีละน้อย

ร่างกายคนไทยจะชิน ปรับสมดุลได้เอง อาจไม่ต้องกังวลมาก แต่ไม่ประมาท

เริ่มมีคนไทยตายจากฮีตสโตรกแล้วโดยเฉพาะในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในกลุ่มกลางแดด ยังมีกลุ่มเสี่ยงที่ต้องระวังอีก ได้แก่ ทารก เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ คนที่มีความพิการ ทางสมอง จิตประสาทแปรปรวน เป็นโรคหัวใจ ความดัน คนเหล่านี้ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ หรือปรับตัวเองได้ไม่ดี 

อีกข้อที่สําคัญ ความร้อนของอากาศ ยังขึ้นกับความชื้นในอากาศ ซึ่งป้องกันไม่ให้เหงื่อระเหยระบายความร้อนออกไม่ได้ ทําให้ความร้อนจริงที่ร่างกายต้องเผชิญสูงมากขึ้น 

ยิ่งอยู่กลางแดดและมีลมร้อนจัด สภาวะแวดล้อมแบบนี้จะอันตรายยิ่งขึ้น ที่ต้องระวังในช่วงสงกรานต์ เช่นออกกําลังกายกลางแจ้ง ตีแบดฯ ตีเทนนิส ก็มีโอกาสเป็นลมแดดได้ และแม้อยู่ในที่อับ ร้อนจัด ชื้น อากาศถ่ายเทไม่สะดวก ไม่ได้อยู่กลางแจ้ง ก็เป็นได้เช่นกันถึงแม้จะเสี่ยงน้อยกว่า

สำหรับอันตรายที่เกี่ยวกับแดดและความร้อน (และชื้น)นั้น แบ่งระดับความรุนแรงได้ 4 ระดับ แต่อาจ เกิดขึ้นกระทันหันได้

  • ระดับแรก แดดเผา ผิวบวม แดง ลอก 
  • ระดับที่สอง ตะคริวตามน่อง กล้ามท้อง 
  • ระดับที่สามเพลียรุนแรง ใกล้จะช็อก ตัวเย็นชืดชื้น ชีพจรเร็วเบา เป็นลม อาเจียน แต่อุณหภูมิร่างกายยังปกติ 
  • ระดับที่สี่ ฮีทสโตรกถือเป็นภาวะฉุกเฉินวิกฤติ อุณหภูมิร่างกายอาจสูงถึง 41องศาเซลเซียส ผิวแห้ง ร้อน ชีพจรเร็ว แรง อาจหมดสติ ถึงขั้นเสียชีวิต เหมือนสมองและเครื่องในสุก

อาการฮีทสโตรก ต้องได้รับการรักษาโดยด่วนในโรงพยาบาล การปฐมพยาบาลขั้นต้น ให้ประคบ เย็นตามซอกตัว เช็ดตัว พัดลมระบายความร้อน นอนราบ ยกเท้าสูง หลบ แดด ผึ่งลม ประคบเย็น และจิบนํ้า 

ถ้าอาการหนักมาก การใช้นํ้าเย็นอาจทําให้เกิดตะคริวท้อง ให้นอนราบหรือตะแคง หากอาเจียนร่วมด้วยจําไว้ว่า การดื่มนํ้าจะทําให้เกิดอันตรายในระดับ 3 และถ้ามีอาการในระดับ 4 ห้ามให้นํ้าดื่มเด็ดขาด เพราะจะเกิดอันตรายรุนแรงได้ ต้องเข้า รพ.

ระยะนี้การพยาบาลให้นํ้าทางปากอาจเป็นอันตรายได้ ยิ่งถ้าคนสูงอายุมีโรคประจําตัวที่ต้องได้รับยา ดังกล่าวข้างต้น ยิ่งมีอันตรายสูงเข้าไปอีก 

คนอ้วน คนที่ดื่มสุรา เบียร์ ของหวาน จะมีความเสี่ยงสูงมาก เพราะความสามารถในการปรับตัวกับความร้อนจะไม่ดี 

ประเด็นที่สำคัญ ที่อาการก่อนหน้าที่จะถึงขั้นอุณหฆาต อาจนํามาด้วยตะคริว หรือ หน้ามืด เพลีย คลื่นไส้ จะเป็นลม เพราะฉะนั้นให้ดื่มนํ้าบริสุทธิ์มหาศาล อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร หรือมากกว่า

ข้อสําคัญให้หลีกเลี่ยงนํ้าหวาน นํ้าชา กาแฟ สุราถ้ายิ่งต้องออกไปกลางแดดนานๆ 

รู้จัก "เทอร์โมสแตทพัง" คืออะไร อันตรายแค่ไหน เช็กข้อมูลกันตรงนี้ มีคำตอบ

รู้จักสมองของเรา

สมอง ที่อยู่ภายในกระโหลกศรีษะของเรานี้ มีลักษณะเป็นรูปครึ่งวงกลมคว่ำ ส่วนโค้งอยู่ทางด้านบน ส่วนแบนอยู่ทางด้านล่าง มีแกนตรงกลางยาวยื่นออกมาจากครึ่งทรงกลมนี้ทางด้านล่างเรียกว่า ก้านสมอง (brainstem) ก้านสมองนี้มีส่วนต่อยาวเลยท้ายทอยลงไป ส่วนที่ยาวมาจากท้ายทอยเมื่อพ้นกระโหลกศรีษะไปแล้วจะทอดตัวเป็นลำยาวภายใน ช่องตลอดแนวกระดูกสันหลังเรียกว่า ไขสันหลัง (spinal cord)

สมอง ส่วนที่สำคัญที่สุดที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการเรียนรู้ ความโง่ ความฉลาด ส่วนครึ่งวงกลมที่อยู่ภายในครึ่งบนของกระโหลกศรีษะ มีชื่อเรียกว่า ซีรีบรัม (cerebrum) หรือสมองใหญ่ เมื่อดูภายนอกส่วนครึ่งวงกลมนี้มีรอยหยัก เป็นร่องและลอนนูนทั่วไป มีร่องใหญ่มากที่ด้านบนตรงกลางกระหม่อม ซึ่งแบ่งครึ่งวงกลมนี้เป็นสองซีก จากหน้าไปหลัง ทำให้สมองแยกเป็น 2 ข้าง ทางด้านซ้ายและด้านขวา ซึ่งมีลักษณะคล้ายกัน สมองสองข้างนี้ไม่ขาดจากกัน แต่ยึดติดกันด้วยส่วนของสมองที่อยู่ตอนกลาง สมองแต่ละข้างแบ่งออกเป็น 4 ส่วน

รู้จัก "เทอร์โมสแตทพัง" คืออะไร อันตรายแค่ไหน เช็กข้อมูลกันตรงนี้ มีคำตอบ

สมองส่วนหน้า (frontal lope)
ทำงานเกี่ยวกับการตัดสินใจ เหตุผล วางแผน และควบคุมการเคลื่อนไหว

สมองพาไรเอทัล (parietal lope)
ทำงานเกี่ยวกับการรับรู้ความรู้สึกสัมผัส และรับรู้ตำแหน่งของร่างกายส่วนต่างๆ รวมทั้งนำการรับรู้ในส่วนนี้ประสานกับการรับรู้ภาพและเสียง

สมองส่วนหลัง (occipital lope)
ทำงานเกี่ยวกับการรับรู้ภาพ

สมองส่วนขมับ (temporal lope)
ทำงานเกี่ยวกับรับรู้เสียง ความจำ การตีความภาษา
 

25 สัญญาณเตือนภาวะสมองเสื่อมที่ไม่ควรละเลย

อาจจะมีบางครั้งที่เราหลงลืมชื่อคนบางคน หรือพลั้งเผลอที่จะกระทำบางเรื่องที่ควรทำ แต่นั่นไม่ได้บ่งชี้ว่าเรากำลังจะเข้าสู่ภาวะสมองเสื่อม ความจำถดถอย หรือ เป็นโรคที่เรียกกันติดปากว่า อัลไซเมอร์ เสมอไป อาการหลงๆ ลืมๆ จดจำอะไรไม่ค่อยได้อาจมีสาเหตุมาจากปัจจัยหลายประการ เช่น การได้รับวิตามินบี12 ไม่เพียงพอ ความบกพร่องของสมอง ไทรอยด์ ตับ หรือไต


อย่างไรก็ตาม สัญญาณบางอย่างที่อาจจะบ่งชี้ถึงอาการของภาวะสมองเสื่อมก็ไม่ควรถูกละเลย ยิ่งวินิจฉัยได้เร็วเท่าใด ก็จะช่วยชะลอภาวะถดถอยได้เร็วขึ้น

รู้จัก "เทอร์โมสแตทพัง" คืออะไร อันตรายแค่ไหน เช็กข้อมูลกันตรงนี้ มีคำตอบ

จับตาโพสต์ล่าสุด !!

โควิด เจอ พีเอ็ม = ชิบหาย

โควิด

* โควิด สายพันธุ์ย่อยโอไมครอน อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะผันตัวมาจากตัวที่ ติดมนุษย์ไปหมดแล้ว ต้องหาทางเจาะใหม่ตามวัฎจักร แต่ไม่ได้หมายความว่าจะรุนแรง

* ที่ไม่ควรรุนแรงเพราะมีภูมิคู่จากวัคซีน (ซึ่งไม่ควรฉีดมากเกินไปเพราะจะทำให้นักฆ่า ระบบภูมิคุ้มกัน T และ inmate ชาชิน เฉื่อย) และ ภูมิจากการติดตามธรรมชาติ ซึ่งทำให้ระบบนักฆ่าแข็งแรงมากกว่าวัคซีนด้วยซ้ำ

พีเอ็ม ซ้ำซาก มา 8-9 ปี พินาศมากขึ้นเรื่อยๆ

* พีเอ็ม 2.5 เมื่อหายใจเข้าไปจะแทรกซึมเข้าไปในเลือดไปทุกอณูของร่างกาย

* ค่าปลอดภัยของ PM 2.5 คือ 13.3

ทุกๆ ระดับที่สูงขึ้น 10 ความเสี่ยงเส้นเลือดตัน เพิ่ม โดยผ่านการกระตุ้นตัว อักเสบ IL1 beta IL-6 TNF alpha และอื่นๆ

* ทุก ๆ ปริมาณที่เพิ่มขึ้น10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรของฝุ่นจิ๋ว 2.5 จนถึง 33.3 จะเพิ่มความเสี่ยงของการตาย 4.14% และสำหรับไนโตรเจนไดออกไซด์เพิ่มความเสี่ยงในลักษณะเดียวกันโดยมีอัตราเพิ่มขึ้นอีก 1.3%

* ฝุ่นจิ๋ว PM 10 จะเสี่ยงตายต่อโรคหัวใจ สูงขึ้น จนถึง ระดับ 57.3

ระดับสูงกว่านี้ ภาวนา กันเอง เมืองไทย ไม่เคยมี 33.3 หรือ 57.3 มานานแล้ว

เป็นการรายงานในวารสารของสมาคมโรคหัวใจ (Journal of American College of Cardiology) วันที่ 26 มกราคม 2021 นี่เอง รวมทั้งบทบรรณาธิการ

* รายงานมาจากพื้นที่มณฑล หูเป่ย์ และมีเมืองหลวงก็คืออู่ฮั่น ทั้งนี้เป็นพื้นที่ที่มีมลภาวะทางอากาศเข้มข้น และทำให้สามารถทำการศึกษาจากคนที่ตายจากโรคหัวใจและเส้นเลือดจำนวน 151,608 ราย ค่าเฉลี่ยรายวันของฝุ่นเล็กจิ๋ว 2.5 ในมณฑลนี้ และในหลายพื้นที่ของประเทศจีนและอินเดียอยู่ที่ 63.4 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และการที่ได้รับฝุ่นพิษจิ๋วเล็ก 2.5 และจิ๋วใหญ่ขึ้นขนาด 10 ไมครอนภายในหนึ่งวัน หรือในวันนั้นเองจะส่งผลกับการตายอย่างมีนัยยะสำคัญ

สรุป ชิบหายเพราะ

โควิด ติดง่ายขึ้น เพราะเยื่อบุทางเดินหายใจ ถูกทำลายจาก พีเอ็ม

พีเอ็ม ทำลาย ระบบภูมิคุ้มกันแทบทุกระบบ ส่งเสริมความรุนแรงโควิด

กลไก ความรุนแรงทำร้ายมนุษย์เหมือนกัน ของ พีเอ็ม และโควิด

ปิดท้ายกันที่ 

XBB.1.16 พบในหลายประเทศอาจจะถึง 22 ประเทศ รวมทั้งสหรัฐและอังกฤษ มาระยะหนึ่งแล้ว

ความสามารถในการติดเชื้อเพิ่มขึ้นไม่มากนัก 1.2 เท่า

ในอินเดีย ที่เป็นข่าว

ประชากรประมาณ 1,400 ล้านคน

ตามข้อมูล มีผู้ป่วยโควิด

รายใหม่ 3.5 ราย/ล้าน

เสียชีวิตไหม่ 0.01 ราย/ล้าน

ไม่ได้สูงขึ้นมากจากเดิมนักและควรให้ดูต่อไป

ความสำคัญของการป้องกันไม่ให้อาการหนักและตายยังอยู่ที่

• ระบบนักฆ่า T cell เช่น CD8 ที่สามารถสังหารได้กว้างขวางแม้ว่าจะหน้าตาเปลี่ยนไป

• นอกจากนั้นยังมีระบบ เพชฌฆาตด่านหน้า (innate immunity)

• ส่วน แอนตี้บอดี้ในน้ำเหลืองนั้นเมื่อมีสายพันธุ์ย่อยต่างๆนาๆจะไม่สามารถจับได้เหมาะเหม็งนัก เลยทำให้มีการติดใหม่ได้

ข้อสำคัญในคนไทยคือต้นทุนสุขภาพ อ้วน เบาหวาน ตับ ไตหัวใจ ปอด แถมด้วย มลพิษระยะยาวที่สะสมไว้และยังไม่หมดไปซักที คือ พีเอ็ม 2.5

ขอขอบคุณ:เพจคุณหมอธีระวัฒน์ มา ณ โอกาสนี้ 
ขอขอบคุณที่มา: รู้จักสมอง