
อีกหนึ่งบทความดีๆ โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่หน้าร้อน หรือ หน้าร้อนจัดที่กำลังคืบคลานเข้ามาในตอนนี้ โดยล่าสุดเมื่อ 15 ชั่วโมงที่ผ่านมา (11 เมษยน 2566) ที่เพจของ หมอดื้อ หรือ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา (หมอธีระวัฒน์) ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha โดยมีข้อความว่า
สมองเสื่อมวัยชราพุ่งสูง ตรวจรู้ล่วงหน้าช่วยได้ เอาชนะได้
คนรักสุขภาพต้องไม่พลาด
เปิดประเด็นทางวิชาการอย่างต่อเนื่อง สำหรับ หมอดื้อ หรือ คุณหมอธีระวัฒน์ ล่าสุดส่งโพสต์สุดปัง งานนี้คอข่าวต้องรีบแชร์แล้วละ
..
หมอเองติดโควิด (10/6/65)
* 13 วันต่อมามีอาการเอ๋อ แต่อัลไซเมอร์โปรตีนยังไม่มา
* 100 วันจากติดโควิด สมองดี แต่โปรตีนพิษมาเยอะ…..
* ปรับสุขภาพ อาหาร ออกกำลัง แดด 5 เดือน ต่อมา (19/2/66) หายเกลี้ยง
ประเทศไทยเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุ” ที่ต้องรับมือกับการดูแลสุขภาพอนามัยผู้สูงวัยโดยเฉพาะ “โรคอัลไซเมอร์” เป็นสาเหตุของอาการสมองเสื่อมในวัยชราอายุ 60 ปีขึ้นไปที่นับวันจะมีแนวโน้มพบมากขึ้น
คาดคะเนกันว่าอีก 10 ปีข้างหน้านั้น “ผู้ป่วยโรคนี้จะเพิ่มขึ้นหลาย ล้านคน” ในกลุ่มผู้มีอายุ 65 ปีขึ้นไป มีโอกาสเกิดได้ถึง 1 ใน 10 และกลุ่มอายุ 85 ปี มีโอกาสเสี่ยง 1 ใน 3 ที่จะเป็นโรคสมองเสื่อมกลายเป็นปัญหาใหญ่ให้ครอบครัวทำงานนอกบ้าน “ทิ้งผู้สูงอายุอยู่บ้านลำพัง” อาจเกิดการบาดเจ็บกะทันหันนำสู่ภาวะติดเตียงตามมา
จริงๆ แล้ว “โรคสมองเสื่อมไม่ใช่ทุกคนต้องเป็นเมื่อแก่ชรา”
แต่เป็นโรคที่ป้องกันได้ถ้าเข้าใจกลไกการเจริญวัยของสมองที่ดี อันมีสาเหตุจาก โรคอัลไซเมอร์ ก่อตัวในสมองตั้งแต่มีสติปัญญาเฉียบแหลมพัฒนา 15 ปี แล้วค่อยเริ่มอาการทวีความรุนแรงหลงลืมสับสนพฤติกรรมประสาทหลอนมากขึ้น เพราะเซลล์สมองตายจนเหลือน้อยทำงานปกติไม่ได้
เหตุนี้ ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ได้จัดกิจกรรมสบายสมอง Strong & Healthy พบปะพูดคุยแนะนำภาวะเสี่ยงเป็นโรคสมองเสื่อมนี้
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หน.ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ฯ บอกว่า ในช่วงการระบาดโควิด-19 มีการศึกษาผู้ป่วยติดเชื้อทั้งแสดงอาการ และไม่แสดงอาการ “เมื่อหายป่วยหลายคนต้องเผชิญกับอาการลองโควิด” โดยเฉพาะบางคนกลับพบอาการลักษณะของโรคสมองเสื่อมภายหลังจากการติดเชื้อใน 80-100 วัน
ยกตัวอย่างเช่น “ตัวเองติดเชื้อโควิดเมื่อเดือน มิ.ย.2565” มีอาการหลงลืมบ่อยทำให้ต้องเจาะเลือดตรวจหลังหายป่วย 88 วัน
“ผลการตรวจพบว่ามีอาการอัลไซเมอร์โผล่ขึ้นในสมอง” อันเป็นการปรากฏภาวะแทรกซ้อนจากลองโควิดในระยะยาว สิ่งนี้เป็นผลรู้ล่วงหน้าอันเป็นความท้าทายต่อการหยุดยั้งโรคนี้ให้ได้ต่อไป
เช่นเดียวกับ “ฝุ่น PM 2.5 ก็เป็นสาเหตุให้สมองเสื่อม” เพราะฝุ่นพิษแทรกซึมเข้าเลือดกระจายไปทุกส่วนในร่างกาย “ก่อให้เกิดการอักเสบอวัยวะ” กลายเป็นโรคทางหัวใจ โรคมะเร็ง และสมองเสื่อมตามมาด้วย
ในส่วน “ยาแก้แพ้ แก้เวียนเมารถ เมาเรือ ยาหดหู่ซึมเศร้า ยาลด ปัสสาวะบ่อย” ในทางประสาทวิทยาระบุว่า การกินยานี้ติดต่อกันนาน 6-9 เดือน มักมีผลข้างเคียงให้เกิดสมองฝ่อ และสมองเสื่อมเร็วมากยิ่งขึ้น
ถัดมา “การกินวิตามินบี 6 ช่วยบำรุงสมองระบบประสาท” แต่ถ้ากินมากก็มีผลต่อเส้นประสาท ลักษณะชาแสบร้อนตามปลายเท้าปลายมือ และกล้ามเนื้ออ่อนแรง ในบางรายกล้ามเนื้อกระตุกจนเสียการทรงตัวก็มีดังนั้นใครกินวิตามินบี 6 ต้องดูฉลากเตือนห้ามกินเกิน 10 มก./วัน เพราะวิตามินบางยี่ห้อปรับปริมาณสูง 250-500 มก.
ยิ่งไปกว่านั้นคือ “การเสริมแคลเซียม” ตามปกติเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุแล้ว “เส้นเลือดฝอยในสมองจะตีบและอุดตัน” ทำให้เกิดแผลเป็นเล็กๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นโรคอัมพฤกษ์อัมพาตเกิดขึ้น
“การเสริมแคลเซียมเข้าไปช่วยแผลเป็นเล็กๆ นั้น” อาจทำให้มีความเสี่ยงสมองเสื่อมสูงขึ้น 3 เท่า
ส่วนสำหรับ “ผู้ป่วยโรคอัมพฤกษ์อยู่แล้ว” เมื่อได้รับแคลเซียมเพิ่มเข้าไปย่อมมีความเสี่ยงต่อสมองเสื่อมสูงกว่า 7 เท่า
สิ่งนี้กำลังสะท้อนว่าการกินแคลเซียมไม่มีประโยชน์ แต่กลับเพิ่มโทษต่อสมองมากขึ้นอีกด้วยซ้ำ
ถ้าพูดถึง “การนอนมากก็เสี่ยงสมองเสื่อมได้” เพราะจริงๆแล้วทุกคนมีกลไกการควบคุมการตื่น และหลับ ที่เป็นเหมือนกับการเปิด-ปิดสวิตช์ “อันมีกลุ่มเซลล์สมองเป็นตัวกระตุ้น” แต่มีข้อสังเกตเมื่อเข้าห้องนอนแล้ว “คนนั้นหลับยากตื่นบ่อย และพอถึงเวลาปลุกตื่นยากอีก” สิ่งนี้เป็นสัญญาณเตือนสมองเสื่อมทั้งสิ้น
อีกอย่าง การนอนงีบหลับกลางวันก็เป็นสัญญาณเตือนสมองเสื่อมเช่นกัน เพราะคนปกติจะงีบกลางวันเฉลี่ยอยู่ที่ 11 นาที ถ้าเริ่มมีสมองเสื่อมมักงีบหลับเพิ่มขึ้นสองเท่า 24 นาที/วัน หากอาการรุนแรงจะงีบหลับนานขึ้นเป็น 66 นาที/วัน แล้วการงีบหลับมากกว่า 1 ชม./วัน หรือมากกว่า 1 ครั้ง/วัน มักมีโอกาสเสี่ยงพัฒนาเป็นสมองเสื่อม 40%
ผู้ชายสูงอายุงีบหลับกลางวันมากกว่า 2 ชั่วโมง/วัน มักมีสติปัญญาเสื่อมถอยมากกว่าคนที่งีบหลับน้อยกว่า 30 นาที/วัน อย่างไรก็ตาม การงีบ กลางวันนี้ไม่นับรวมการนอนชดเชยกรณีช่วงตอนกลางคืนนอนหลับไม่เพียงพอ ประเด็นที่ว่า “โรคสมองเสื่อมสามารถชะลอไม่ให้ลุกลามเร็วได้” ด้วยการตรวจให้รู้ก่อนเกิดการสูญเสียความทรงจำ “ทำให้มีโครงการแผนพัฒนาเชิงรุกสบายสมองอินิชิเอทิฟส์” โดยศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ฯ และสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข พัฒนาวิธีตรวจโรคสมองเสื่อมในเลือดที่รวดเร็วแม่นยำ
“หากตรวจพบโรคอัลไซเมอร์ในระยะฟักตัวกล่าวคือ ระยะที่ยังไม่มีอาการ หรือไม่มีการสูญเสียเซลล์สมองมากจะสามารถป้องกันโรคนี้ได้ด้วยการควบคุมปัจจัยเสี่ยงที่ส่งเสริมให้เกิดสมองเสื่อม เช่น รักษาความดันโลหิต ออกกำลังกาย เลิกบุหรี่ หลีกเลี่ยงยาที่เร่งให้เกิดสมองเสื่อม และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์”
ส่วน “การกินอาหารมีประโยชน์เพื่อช่วยชีวิตนั้น” อย่างเช่น ปลา อาหารทะเล ผักผลไม้ ถั่วทุกชนิด โดยเฉพาะน้ำมันมะกอกเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของอาหารเมดิเตอร์เรเนียนที่บริโภคกันมานานกว่า 2,000 ปี
โดยมีงานวิจัยพิสูจน์ว่าน้ำมันมะกอกชนิดบริสุทธิ์พิเศษ ที่เรียกว่า Extra-virgin olive oil (EVOO) มีประโยชน์ในสมองเสื่อม ในปี 2017 นักวิทยายาศาสตร์จาก Temple University, Philadelphia, Pennsylvania ศึกษาในหนู 2 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกได้รับอาหารที่มีน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ และกลุ่มที่ 2 เป็นอาหารธรรมดาเมื่อหนูอายุ 12 เดือน ทำการตรวจสมองหาค่าการสะสมสารพิษในสมองอันเป็นลักษณะสำคัญของโรคอัลไซเมอร์ลดลง แล้วน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ยังสามารถกระตุ้นให้กระบวนการใช้พลังงานของเซลล์ประสาทอย่างมัธยัสถ์ และนำขยะที่ได้จากการทำงานไปทำลายได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นด้วย
นอกจากนี้ ยังมี “Mediterranean diet” เป็นแนวทางการกินอาหารผสมผสานสไตล์การกินแบบเมดิเตอร์เรเนียนผนวกเข้ากับสไตล์การเลือกกินอาหารต้านความดันสูง “พริกหวานสีแดง” ก็มีสารนิโคตินมีฤทธิ์ต่อต้าน อนุมูลอิสระสูงช่วยป้องกันการเกิดมะเร็ง ช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อม หรืออัลไซเมอร์ ช่วยชะลอความสมองเสื่อม 30%
สิ่งสำคัญคือ “เบียร์สามารถลดความเสี่ยงสมองเสื่อมได้” ตามรายงานในวารสารสมาคมแพทย์อเมริกา (JAMA network open) ปี 2023 สรุปกรณีกลุ่มผู้ดื่มระดับน้อยถึงดื่มปานกลางนั้น “ลดความเสี่ยงของสมองเสื่อมลง” ในส่วนการลดปริมาณจากดื่มหนักเป็นดื่มปานกลางก็จะลดความเสี่ยงของสมองเสื่อมเช่นกัน
ขณะเดียวกัน “การไม่ดื่มแล้วมาเริ่มดื่มบ้างในปริมาณน้อยจะลดความเสี่ยงสมองเสื่อม” แต่กลุ่มที่ดื่มหนักนั้นมีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น 8% ดังนั้นการดื่มแอลกอฮอล์อย่างเหมาะสมมักเกิดประโยชน์ต่อร่างกายได้
สุดท้ายย้ำว่า ทุกคนมีโอกาสกลายเป็น “สมองเสื่อมแบบไม่รู้ตัว”
แต่ถ้ารู้จักป้องกันในการใช้ชีวิตดูแลสุขภาพแต่เนิ่นๆ ด้วยการกินอาหารปลอดสารเคมี ลดแป้ง ลดน้ำตาล ลดน้ำหวาน ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และหมั่นตรวจร่างกายเป็นประจำก็จะช่วยให้ห่างไกลจากโรคอัลไซเมอร์ไปด้วยกัน...
ชวนคอข่าวมาทำความรู้จักกับ "โรคอัลไซเมอร์"
"อัลไซเมอร์" เป็นหนึ่งในโรคที่เกิดจากความเสื่อมถอยของการทำงานหรือโครงสร้างของเนื้อเยื่อของสมองซึ่งมักพบในผู้สูงอายุ โดยไม่ใช่ความเสื่อมตามธรรมชาติเพราะผู้สูงอายุไม่จำเป็นต้องเป็นอัลไซเมอร์ทุกคน แต่เป็นความเสื่อมที่เกิดจากโปรตีนชนิดหนึ่งที่เรียกว่า เบต้า-อะไมลอยด์ (beta-amyloid) ชนิดไม่ละลายน้ำซึ่งเมื่อไปจับกับเซลล์สมองจะส่งผลให้เซลล์สมองเสื่อมและฝ่อลง รวมถึงทำให้การสื่อสารระหว่างเซลล์สมองเสียหายจากการลดลงของสารอะซีติลโคลีน (acetylcholine) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ส่งผลโดยตรงกับความทรงจำ
การสะสมของเบต้า-อะไมลอยด์ ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองค่อยๆ ลดลง เริ่มจากสมองส่วนฮิปโปแคมปัส (hippocampus) ที่มีบทบาทสำคัญในการจดจำข้อมูลใหม่ๆ เมื่อเซลล์สมองส่วนนี้ถูกทำลาย ผู้ป่วยจะเริ่มมีปัญหาเรื่องความจำโดยเฉพาะความจำระยะสั้น จากนั้นความเสียหายที่เกิดขึ้นจะแพร่กระจายไปสู่สมองส่วนอื่นๆ และส่งผลต่อการเรียนรู้ ความรู้สึกนึกคิด ภาษา และพฤติกรรม
อัลไซเมอร์กับภาวะสมองเสื่อม
โรคอัลไซเมอร์กับภาวะสมองเสื่อม (dementia syndrome) นั้นมีความแตกต่างกัน ซึ่งการเข้าใจความแตกต่างจะช่วยให้ผู้ป่วยและญาติเข้าใจการวินิจฉัยของแพทย์ได้ดีขึ้น ทั้งนี้ ภาวะสมองเสื่อมหมายถึง กลุ่มอาการผิดปกติที่เป็นผลมาจากการเสื่อมของสมองหลายส่วนซึ่งพบได้ในผู้สูงอายุ โดยแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทตามสาเหตุ ได้แก่
ภาวะสมองเสื่อมที่รักษาให้หายขาดได้ พบประมาณร้อยละ 20 ของผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมทั้งหมด โดยสาเหตุมักเกิดจากโรคทางกาย เช่น หลอดเลือดสมองตีบตัน เลือดออกในสมอง เนื้องอกในสมองบางชนิด การขาดวิตามินบี12 และโรคขาดไทรอยด์ฮอร์โมน
ภาวะสมองเสื่อมที่รักษาไม่หายขาด พบมากถึงร้อยละ 80 ของผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อม และมีโรคอัลไซเมอร์เป็นสาเหตุถึงร้อยละ 50 ส่วนที่เหลือเป็นโรคที่ทำให้สมองเสื่อมคล้ายอัลไซเมอร์อีก 5-6 โรค ดังนั้น อัลไซเมอร์จึงเป็นสาเหตุของภาวะสมองเสื่อมที่พบได้บ่อยที่สุด
อายุ จัดเป็นปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มโอกาสการเกิดโรคอัลไซเมอร์ ยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งมีโอกาสเกิดโรคมากขึ้น เพราะ สถิติในปัจจุบันพบว่ากลุ่มที่มีอายุราว 65 ปี พบผู้ป่วยอัลไซเมอร์ประมาณร้อยละ 5 กลุ่มผู้ที่มีอายุราว 75 ปี พบผู้ป่วยอัลไซเมอร์ประมาณร้อยละ 15 และกลุ่มผู้ที่มีอายุ 85 ปีขึ้นไป พบผู้ป่วยอัลไซเมอร์มากถึงร้อยละ 40 ฉะนั้น จำนวนผู้ป่วยอัลไซเมอร์จึงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากคนเรามีอายุที่ยืนยาวขึ้น
นอกจากนี้ โรคอัลไซเมอร์ ยังสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้แต่พบเป็นส่วนน้อย คือประมาณร้อยละ 5 เท่านั้น โดยผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการให้เห็นตั้งแต่อายุ 50-60 ปี
อัลไซเมอร์ไม่ใช่แค่หลงลืม
อาการแรกเริ่มที่สำคัญของผู้ป่วยอัลไซเมอร์ คือการสูญเสียความจำระยะสั้น ซึ่งเป็นอาการที่ใกล้เคียงกับภาวะความจำเสื่อมตามธรรมชาติในผู้สูงอายุ แต่เมื่อเวลาผ่านไปผู้ป่วยร้อยละ 80-90 จะมีอาการทางพฤติกรรมหรือทางจิตเวชร่วมด้วย ซึ่งอาการทางพฤติกรรมนี่เองที่ทำให้การดูแลผู้ป่วยเป็นไปอย่างยากลำบากมากขึ้น โดยเฉพาะรายที่มีอาการก้าวร้าว
อาการทั่วไปของโรคอัลไซเมอร์อาจแบ่งคร่าวๆ ได้เป็นสามระยะ ได้แก่
ระยะแรก ผู้ป่วยจะมีความจำถดถอยจนตัวเองรู้สึกได้ ชอบถามซ้ำ พูดซ้ำๆ เรื่องเดิม สับสนทิศทาง เริ่มเครียด อารมณ์เสียง่ายและซึมเศร้า แต่ยังสื่อสารและทำกิจวัตรประจำวันได้ ระยะนี้เป็นระยะที่คนรอบข้างยังสามารถดูแลได้
ระยะกลาง ผู้ป่วยมีอาการชัดเจนขึ้น ความจำแย่ลงอีก เดินออกจากบ้านไปโดยไม่มีจุดหมาย พฤติกรรมเปลี่ยนไปมาก เช่น จากที่เป็นคนใจเย็นก็กลายเป็นหงุดหงิดฉุนเฉียว ก้าวร้าว พูดจาหยาบคาย หรือจากที่เป็นคนอารมณ์ร้อนก็กลับกลายเป็นเงียบขรึม และเมื่อเวลาผ่านไป ผู้ป่วยจะเริ่มมีปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ชงกาแฟไม่ได้ ใช้รีโมททีวีหรือโทรศัพท์มือถือไม่ได้ คิดอะไรที่ไม่ถูกต้อง ไม่อยู่ในโลกของความจริง เช่น คิดว่าจะมีคนมาฆ่า มาขโมยของ คิดว่าคู่สมรสนอกใจ ซึ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอาการที่ยากต่อการดูแลและเข้าสังคม
ระยะท้าย ผู้ป่วยอาการแย่ลง ตอบสนองต่อสิ่งรอบข้างน้อยลง สุขภาพทรุดโทรมลงคล้ายผู้ป่วยติดเตียง รับประทานได้น้อยลง การเคลื่อนไหวน้อยลงหรือไม่เคลื่อนไหวเลย ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ สมองเสื่อมเป็นวงกว้าง ไม่พูดจา ภูมิคุ้มกันอ่อนแอซึ่งมักนำไปสู่การติดเชื้อและเสียชีวิตในที่สุด โดยระยะเวลาทั้งหมดตั้งแต่แรกวินิจฉัยจนเสียชีวิตเฉลี่ยประมาณ 8-10 ปี
“ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เราดูแลพ่อตลอด 24 ชั่วโมง ก็มีความเครียดนะ แต่เราคิดแค่ว่าความสุขของพ่อต้องเป็นที่ตั้ง มันเป็นวิธีการที่ทำให้เรารู้สึกว่าจะอยู่กับสถานการณ์แบบนี้ได้ เราไม่เคยคิดว่าต้องเสียสละเวลาชีวิตให้กับการดูแลพ่อเลย กลับรู้สึกว่าพ่อทำให้เราโตขึ้นและเป็นคนที่ดีขึ้นมาก”
มนุษย์ต่างวัย คุยกับ โต - พิสิษฐ์ จินตวรรณ Sound Engineer ตัดสินใจทิ้งงานที่ตนเองรักกลับมาดูแลพ่อ ผู้ป่วยเป็นอัลไซเมอร์มากว่า 10 ปี ในวันที่พ่ออาการถดถอยลงทุกวัน เขามีการรับมือในสภาวะที่พ่อไม่ปกติได้อย่างไรให้พ่อมีความสุขมากที่สุด ควบคู่ไปกับที่ตัวเขาเองก็ต้องมีความทุกข์ที่น้อยลง
“เราเข้ามาทำงานที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่อายุ 20 ปี ทำงานในแวดวงดนตรีกับศิลปิน ชีวิตอยู่แต่ในห้องอัด สตูดิโอ ส่วนพ่อและแม่อยู่บ้านที่จังหวัดชุมพร จุดเปลี่ยนในชีวิตของเราคือแม่เริ่มป่วยเป็นมะเร็ง จำเป็นต้องขึ้นมารักษาตัวที่กรุงเทพอยู่ประมาณหนึ่งเดือน หลังจากนั้นเราก็ต้องลงไปดูแลแม่ต่อที่บ้านจังหวัดชุมพร ใจก็คิดว่าดูแลแม่สักพักก็จะกลับขึ้นมากรุงเทพฯ เพื่อทำงานต่อ ไม่ได้คิดว่าจะอยู่ยาว สรุปเรากลับมาดูแลแม่ได้แค่ 3 วัน แม่ก็เสียชีวิต ช่วงนั้นเสียใจมาก เหมือนโลกทั้งใบพังลง เพราะแม่เป็นทุกอย่างในชีวิต เรายุ่งๆ กับการจัดการงานศพแม่ เลยลืมคิดไปถึงเรื่องพ่อว่าต่อจากนี้ใครล่ะจะเป็นคนดูแลพ่อ แล้วพ่อจะอยู่กับใคร
“ตอนแรกไม่มีใครรู้ว่าพ่อป่วยเป็นอัลไซเมอร์ เพราะพ่อรับราชการ เกษียณมาก็มีแม่คอยดูแลและทำอะไรให้ทุกอย่าง แค่พ่อหิวน้ำ แม่ก็จะเอาน้ำมาวางไว้ให้ถึงตรงหน้า พอช่วงที่แม่ป่วยดูแลพ่อไม่ไหว ทุกคนในบ้านก็เริ่มสังเกตว่า พ่อเริ่มมีอาการแปลกๆ อารมณ์แปรปรวน ฉุนเฉียวง่าย จากที่เคยเป็นคนใจเย็น ตอนนั้นเราไม่เข้าใจอะไร พาลโกรธพ่อด้วยซ้ำที่พ่อทำให้แม่เหนื่อยอยู่เสมอ”
สิ่งที่ต้องเจอเมื่อมีพ่อเป็นอัลไซเมอร์
“มันเริ่มผิดเพี้ยนไปหมดจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อาการแรกเริ่มของพ่อคือไม่อาบน้ำ ปกติพ่อเป็นคนรักษาความสะอาดมาก แต่ตอนหลังพ่อเริ่มมีกลิ่น กลิ่นของคนที่ไม่ได้อาบน้ำมาหลายวัน ช่วงแรกเราก็สงสัย แต่สุดท้ายเราก็เพิ่งมารู้ว่าเขาทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ต้องทำอย่างไร เมื่อเข้าไปในห้องน้ำเขาก็มักจะเอาน้ำราดบนพื้นบ้าง เราก็นึกว่าเขาแกล้งหลอกทำให้คนอื่นได้ยินว่าอาบน้ำ แต่จริงๆ แล้วเขาแค่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร
“อาการอีกอย่างคือเรื่องของการขับถ่าย พ่อจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลย ไม่ว่าจะยืน นอน ก็จะสามารถขับถ่ายออกมาตอนนั้นได้เลย ไม่ว่าทั้งหนักหรือเบา ถึงพอจะจำได้บ้างว่าต้องเข้าไปขับถ่ายในห้องน้ำ ก็จะลืมราด มันมีเหตุการณ์อยู่ครั้งหนึ่ง เราเคยเข้าไปในห้องน้ำ มีอุจาระของพ่ออยู่ทั่วห้องน้ำ เราที่ไม่เคยทำ ก็ต้องมาเก็บ มาทำความสะอาดอะไรอย่างนี้ ทำให้วันนั้นกินข้าวไม่ลง ต้องราดน้ำแบบเขย่ง ๆ เพื่อไม่ให้เหยียบอุจาระพ่อ จากที่รังเกียจจนทุกวันนี้พ่อไม่สามารถขับถ่ายเองได้เลย เป็นเราที่ต้องดูแลทั้งหมด
“เรื่องพวกการแต่งตัว เสื้อผ้า ก็มีผลด้วย พ่อจะเป็นคนชอบแต่งตัวเยอะมากๆ เหมือนเป็นเจ้าพ่อวงการแฟชั่น มีเหตุการณ์หนึ่งเราออกไปสวนกลับบ้านมาตอนกลางวัน เจอพ่อที่กำลังเอากางเกงมาสวมที่หัว แต่แขนกับหัวเข้าไปอยู่ในขากางเกงข้างเดียวกัน พ่อติดอยู่ในนั้นและไม่สามารถเอาออกมาได้ เหงื่อออกเยอะมาก เป็นภาพที่มองแล้วขำมากนะ แต่ทางตรงกันข้ามถ้าเราไปไม่ทัน พ่ออาจจะเสียชีวิตไปตอนนั้นเลยก็ได้ เพราะหายใจไม่ออก
“เราต้องแปลงร่างเป็นยามเฝ้าครัว เพราะพ่อลืมว่ากินข้าวแล้วทำให้วันหนึ่งพ่อกินหลายมื้อ หลายเวลา ช่วงแรกทะเลาะกันหนักมากเพราะว่าพ่อเป็นโรคเบาหวาน จำเป็นต้องจำกัดอาหาร ต้องกินข้าวสามมื้อ เราเป็นยามไปปูนอนหน้าเตียงเลย ถ้าได้ยินเสียงในครัว เราก็จะรีบวิ่งไปห้ามไม่ให้พ่อกิน ช่วงนั้นเครียดมาก เราเลยปล่อยเลย เราเริ่มให้พ่อกินตามใจ จนสุดท้ายพอป่วยเข้าโรงพยาบาลอยู่ 1 เดือนเต็ม เพราะเกลือแร่ไม่สมดุล ค่าน้ำตาลเกิน โซเดียมเกิน มันทำให้เรารู้เลยว่าเราหย่อนเกินในเรื่องของการดูแล สิ่งที่เราทำมันง่าย มันสบาย แต่ผลลัพธ์ออกมามีแต่เสียกับเสีย ก็เอาเป็นว่าต้องมารีเซตเครื่องใหม่ หาวิธีดูแล ควบคุมอาหารให้เขาอย่างเหมาะสม เราก็ดูแลพ่อมาตลอดจนออกจากโรงพยาบาล”
เรียนรู้การดูแลพ่อ โดยมีชีวิตพ่อเป็นเดิมพัน
"เราเริ่มรู้ก่อนหน้านี้ที่พ่อจะเข้าโรงพยาบาล ทุกอาการที่แสดงออกมาคิดแล้วว่ามันไม่ใช่แค่การหลงๆ ลืมๆ เหมือนชาวบ้าน จริงๆ มันคือโรคอัลไซเมอร์ เราก็เริ่มศึกษาหาข้อมูลว่ามันมีกี่ประเภท วิธีการดูแลต่างๆ ก็มีแนะนำให้กินยา แต่โดยส่วนตัวเราไม่เลือกทางนี้เลย ไม่อยากให้มีเคมีเข้าร่างกายพ่อ เราเชื่อว่าร่างกายพ่อโอเคที่สุดแล้ว เราเลยตั้งใจจะใช้ใจ ใช้ความรู้สึกเพื่อที่จะดูแลพ่อให้เต็มที่"
"ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับพ่อ มันทำให้เรามองเห็นบางอย่าง เรามาย้อนดูว่าหนังสือที่พ่อมีเมื่อก่อนจะเกี่ยวข้องกับเรื่องสงคราม พ่อชอบอ่านข่าว เรามีหนังสือพิมพ์ เก่าเยอะมาก พ่อเคยดูรูปแม่แล้วร้องไห้ออกมา เราเลยรู้ว่าจริงๆ แล้วพ่อยังจำความรู้สึกลึกๆ ในใจได้ สิ่งที่พ่อแสดงออกมามันมีเหตุผลของมัน"
"เราเลยใช้วิธีสร้างตัวละคร สร้างเหตุการณ์สมมุติ เหมือนเล่านิทานให้เด็กฟัง ตอนเช้าเราก็จะคุยกับเขา ถามไถ่ไปเรื่อย อย่างเราจะสร้างให้เจอร์มัน เป็นทหารประเทศหนึ่ง เป็นเหมือนผู้นำ และก็มีน้องซาร่า คือตัวละครในชีวิตพ่อจะเต็มไปหมด ซึ่งเขาก็จำได้หมด อย่างเจอร์มันนี่ศัตรูพ่อเลย เป็นคนที่อิจฉาพ่อ อาศัยอยู่กอกล้วยหน้าบ้าน สิ่งเหล่านี้ที่เราสร้างขึ้นมาก็เพื่อให้พ่อมีปฏิสัมพันธ์กับเรา ทุกตัวละครที่เราสร้างขึ้นมาหลอกพ่อ เราสร้างอย่างมีเหตุผล ทำให้เขารู้สึกถึงมันจริงๆ แล้วเขาจะมีส่วนร่วม มีความสุข มีอารมณ์ต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย มันทำให้พ่อมีเหตุผลในการมีชีวิตต่อไปได้"
เวลาที่พ่อทำอะไรให้น่าเป็นห่วง เราใช้วิธีให้พ่อจำด้วยความรู้สึก ยกตัวอย่างมีเหตุการณ์หนึ่ง เราให้พ่ออยู่บนรถ สตาร์ทรถไว้ แล้วเราลงไปซื้อของ เราก็บอกพ่อไว้เรียบร้อยว่าให้รออยู่บนรถ ปรากฏว่ากลับมาอีกที ประตูรถเปิดไว้ พ่อเดินหายไปไหนก็ไม่รู้เราตกใจมากๆ สุดท้ายเราเห็นพ่อเดินไปไกลมาก คือถ้าพ่อเป็นอะไรไปเราคงไม่เห็น ตอนนั้นเราเครียดและกลัวเหตุการณ์จะเกิดขึ้นอีก พอถึงบ้านเราลงไปร้องไห้ ดิ้นจะตายอยู่กับพื้น ทำให้เห็นเลยว่าเราเครียดมากพี่พ่อหายไป หลังจากนั้นพ่อไม่เคยเดินหายลงไปจากรถอีกเลย
"และเวลาที่พ่อทำอะไรที่ผิดพลาด เราจะไม่ซ้ำเติมเขา เราคิดว่าพอคนป่วยหรือคนสูงอายุนี่เขาจะชอบคิดว่าตัวเองไม่สำคัญ ไม่มีคุณค่า หรือเป็นภาระ อย่างช่วงแรกๆ ที่พ่อเริ่มลุกไปเข้าห้องน้ำไม่ทัน ปัสสาวะใส่กางเกง เขาก็จะบ่นว่าทำไมไปไม่เคยทัน เริ่มหงุดหงิด เราไม่ใช้วิธีต่อว่า เราเอาพลังบวกเข้าสู้คือการอวย เราอวยว่าโหสุดยอดเลย พ่อเก่งแล้ว ปัสสาวะบ่อยๆ ดีเลย ร่างกายขับถ่ายดี คืออวยจนเขาคิดว่าเขาเป็นเจ้าโลก เขาเจ๋งที่สุด เพื่อให้เขารู้สึกยิ่งใหญ่ในความรู้สึกของเขาและมีค่า"
อีกวิธีหนึ่งคือเราต้องสังเกตอารมณ์พ่อให้ดีว่าวันนี้พ่อหัวเราะมากไหม สนุกมากเกินไปไหม หรือพ่อดูเครียด กังวล ร้องไห้ ถ้ามีบางอารมณ์มากเกินไป เราจะเปิดเพลง ใช้ดนตรีเข้าช่วยให้พ่อเปลี่ยนอารมณ์ เพื่อที่จะได้สมดุล อย่างถ้าวันไหนพ่อเครียดมากเราก็จะเปิดเพลง เดินไปเต้นไปหัวเราะใส่ พ่อก็จะเปลี่ยนอารมณ์มาสนุกกับเราเลย แต่บางครั้งถ้าพ่อเต้นทั้งวันไม่หยุด สนุกมากเกินไป เราก็จะเปิดเพลงช้า เศร้าๆ ให้พ่อนั่งเงียบๆ
การรับมือทุกอย่างมันเกิดจากการที่เราสังเกตพ่ออย่างใกล้ชิด และหาอะไรที่ตัวเรามีมาช่วยทำให้การอยู่กับผู้ป่วยมันง่ายและไม่เหนื่อยจนเกินไป
การดูแลพ่อทำให้เราเป็นคนที่ดีขึ้น
"ความรู้สึกเราตอนนี้ก็ดีเลย อาจมีเป็นห่วงพ่อบ้าง เพราะว่านับวันเขาก็ยิ่งแก่ลงไป มันก็ยังมีความรู้สึกว่าเราสงสารเขา อยากให้เขากลับมาเป็นปกติที่สุด เราอยากพาเขาไปเที่ยว พาไปทุกที่ที่เราไป เราคิดว่าการพาผู้ป่วยหรือผู้สูงวัยไปเที่ยว ออกไปข้างนอก ไม่อยากให้คนมองว่าแปลกหรือเป็นภาพที่ควรชื่นชม อยากให้มองว่าเป็นเรื่องธรรมดามากกว่า"
“ตลอด 10 ปี 24 ชั่วโมงที่เราดูแลพ่อ ก็มีความเครียดนะ แต่เราคิดแค่ว่าความสุขของพ่อต้องเป็นที่ตั้ง มันเป็นวิธีการที่ทำให้เรารู้สึกว่าจะอยู่กับสถานการณ์แบบนี้ได้ เราไม่เคยคิดว่าต้องเสียสละเวลาชีวิตให้กับการดูแลพ่อเลย กลับรู้สึกว่าพ่อทำให้เราโตและเป็นคนที่ดีขึ้นมาก เรารู้สึกขอบคุณการดูแลพ่อที่ป่วยเป็นอัลไซเมอร์กลายเป็นว่า จากเมื่อก่อนมัวแต่ก้มหน้าก้มตาทำงาน จนตอนนี้มีคนยึดเราเป็นแบบอย่างได้ มีความรู้สึกดีกับเรา มันเปลี่ยนชีวิตเราให้เป็นคนที่ดีขึ้นไปเลย"
เราคิดถึงวันที่พ่อจะจากไปตลอด เมื่อถึงวันนั้นก็ต้องเสียใจมากอยู่แล้ว แต่เราคิดว่าทุกวันนี้มันคือกำไรชีวิตที่เรายังได้อยู่ดูแลพ่อ เรากำหนดไม่ได้ว่าเขาจะไปวันไหน สิ่งที่กำหนดได้คือเราได้ดูแลเขาทุกวันอย่างเต็มที่อย่างสุดแรงเกิด
“สุดท้ายแล้วพ่อแม่เรา เราก็ต้องดูแล อยู่ที่ว่าเราเลือกที่จะดูแลพวกเขาในรูปแบบไหน เราว่าการสร้างความรู้สึกดีๆ ในการดูแลมันจะทำให้ทั้งผู้ป่วยและเรามีความสุขกันทั้งคู่ มันต้องสร้างพลังบวกเข้าหากัน ทุกอย่างจะดีได้หมด ขึ้นอยู่ที่ใจเราเท่านั้นเอง”
ขอขอบคุณที่มาของเรื่องราวดีๆ ที่หยิบยกมาฝากคอข่าวกันตรงนี้ สำหรับการรับมือ สังคมสูงวัย ที่เชื่อว่าสักวันทุกคน ทุกบ้านต้องประสบพบเจอ แม้กระทั่งตัวเรา คุณเองก็อาจจะต้องรับมือกับภาวะเช่นนี้!!
ขอขอบคุณที่มาจาก :
ที่มา : เพจธีระวัฒน์
ชุดความรู้วิธีการปฎิบัติตนให้ปลอดจากโรค ใช้ยาสมเหตุสมผล และแม้เกิดโรคแล้วชะลอได้
ที่มา : เข้าใจอัลไซเมอร์ เมื่อสมองเสื่อมไม่ใช่แค่เรื่องความจำ
ขอขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : เมื่อพ่อผมเป็น ‘อัลไซเมอร์’
ขอขอบคุณที่มาของเรื่องเล่าดีๆ : โดยนักเขียนมากความสามารถ สุกฤตา ณ เชียงใหม่ รับบทเป็นกราฟิกสาววัยเบญจเพส เป็นคนชอบศิลปะ จับปากกา แต่พอโตขึ้นมาเพิ่งจะรู้ว่าชอบเธอ ฮิ้ววว :)