svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สุขภาพ

เผยข้อมูล "เพียงแค่กินพริก ก็ช่วยสมองได้" เรื่องนี้ สายสุขภาพต้องไม่พลาด

21 มีนาคม 2566
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ผลการศึกษา รายงานในวารสารประสาทวิทยา (Annals of neurology) เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2556 พบว่า การกินพริก (ไม่ใช่พริกไทย) ทำให้ลดความเสี่ยงของการเป็นโรคพาร์กินสัน พริกอยู่ในตระกูล Solanaceae (capsicum และ solanum) เช่นเดียวกับยาสูบ มีหลักฐานมากมายมหาศาลไม่ต่ำกว่า 60 รายงาน

รายงานนี้จับประเด็นตรงที่พริกมีปริมาณนิโคตินสูง ดังนั้น อาจจะให้ผลเหมือนกับการสูบบุหรี่  เรื่องนี้จะมีที่มาที่ไปอย่างไร คอข่าว คอสุขภาพ จะต้องอ่านให้จบ แล้วใช้วิจารณญานในการติดตามข่าวสารอย่างมีสติ  


"หมอดื้อ" หรือ "หมอธีระวัฒน์" แพทย์คนดัง จัดมาให้อีกหนึ่งบทความ โดยที่เพจของ หมอดื้อ หรือ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา (หมอธีระวัฒน์) ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha โดยมีข้อความว่า

เผยข้อมูล "เพียงแค่กินพริก ก็ช่วยสมองได้" เรื่องนี้ สายสุขภาพต้องไม่พลาด

เผยข้อมูล "เพียงแค่กินพริก ก็ช่วยสมองได้" เรื่องนี้ สายสุขภาพต้องไม่พลาด

เรื่องของพริกน่าจะต้องย้อนกลับไปถึงตำนานของบุหรี่ ซึ่งเกิดปรากฏการณ์ประหลาดที่สังเกตว่าคนสูบบุหรี่แม้จะตายยับจากมะเร็ง ป่วยหลอดลม ถุงลมและโรคอื่นมหาศาล ทรมานตลอด แต่กลับมีโรคทางสมองเสื่อมน้อยกว่าและดูจะค่อยๆ รุนแรงอย่างช้าๆ

แต่เผอิญตายก่อนที่จะติดตามได้ชัดเจนเพราะโทษและพิษภัยของบุหรี่

ดังนั้น จึงเป็นที่มาในการตั้งสมมติฐานว่า ใน "บุหรี่" อาจมีสารบางอย่างที่ช่วยปกป้องสมอง ยกตัวอย่างเช่น นิโคติน และมีศึกษาติดตามระยะยาวของคนที่กินพริก รายงานในวารสารประสาทวิทยา (Annals of neurology) เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2556 พบว่า การกินพริก (ไม่ใช่พริกไทย) ทำให้ลดความเสี่ยงของการเป็นโรคพาร์กินสัน พริกอยู่ในตระกูล Solanaceae (capsicum และ solanum) เช่นเดียวกับยาสูบ มีหลักฐานมากมายมหาศาลไม่ต่ำกว่า 60 รายงาน ที่พบว่าคนสูบบุหรี่มีโอกาสเป็นพาร์กินสันน้อยลง แต่...ไม่มีใครอยากตายจากมะเร็ง โรคปอดจากการสูบบุหรี่

เผยข้อมูล "เพียงแค่กินพริก ก็ช่วยสมองได้" เรื่องนี้ สายสุขภาพต้องไม่พลาด
รายงานนี้จับประเด็นตรงที่พริกมีปริมาณนิโคตินสูง ดังนั้น อาจจะให้ผลเหมือนกับการสูบบุหรี่

เผยข้อมูล "เพียงแค่กินพริก ก็ช่วยสมองได้" เรื่องนี้ สายสุขภาพต้องไม่พลาด


จากการประเมินผู้ป่วยพาร์กินสัน 490 ราย เทียบกับคนปกติ 644 ราย เกี่ยวกับการรับประทานอาหารและชนิดของเครื่องปรุง พบว่าคนที่บริโภคพืชที่อยู่ในตระกูล Solanaceae สัมพันธ์กับการไม่เกิดโรคพาร์กินสัน 
แต่ชนิดของอาหารที่สำคัญที่สุดคือพริก และลดความเสี่ยงได้ถึง 30% แม้แต่มะเขือเทศจะอยู่ในตระกูลเดียวกัน แต่ประโยชน์ที่ได้ดูจะน้อยกว่าพริก ทั้งนี้อาจจะเป็นจากการที่มะเขือเทศมีปริมาณนิโคตินน้อยกว่า
อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทราบว่านิโคตินอย่างเดียวหรือมีสารอื่นๆ ในพริกที่ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดพาร์กินสัน

รายงานจากการประชุมล่าสุดของ สมาคมอัลไซเมอร์ และเป็นการประชุมนานาชาติในปี 2565 นี้เอง ทำการศึกษาคนที่เป็นอัลไซเมอร์ร้อยเปอร์เซ็นต์ที่เสียชีวิต 654 ราย และทำการชันสูตรสมอง ทั้งนี้พบพยาธิสภาพของโรคนี้อย่างรุนแรงตามมาตรฐานของ National Institute on Aging-Reagan criteria pathology ซึ่งรวมลักษณะผิดปกติของการมี neuritic plaques และมีพยาธิสภาพในขั้น V/VI ตาม Braak &Braak staging ผู้ป่วยเหล่านี้ทั้งหมดได้ไปพบแพทย์ในระยะสองปีก่อนเสียชีวิตและได้ประเมินการทำงานของสมองด้วยการทดสอบ MMSE ทั้งนี้ ด้วยคะแนนที่ 24 หรือมากกว่า

หมายความว่า การทำงานพุทธิปัญญายังพอใช้ได้ ช่วยตัวเองได้และจำนวนทั้งหมดนี้มี 59 รายหรือ 9% ที่การทำงานของสมองยังดูดีอยู่หรือ อาจจะเรียกได้ว่ามีความทนทานและยืดหยุ่นแม้ว่าในสมองตอนตายแล้วในเวลาถัดมาจะเสียหายมากมายมหาศาลไปแล้วก็ตาม โดยในจำนวนที่เหลืออีก 595 รายหรือ 91% สภาพการทำงานอยู่ในระดับแย่

ทั้งๆ ที่กลุ่มที่ยังมีสมองดีจะมีอายุมากกว่าก็ตามในการพบหมอครั้งสุดท้ายคืออายุ 81.4 ปี เทียบกับ 77.7 ปี (P=0.005) รวมทั้งอาจมีจำนวนปีของการศึกษามากกว่าบ้างคือ 16.5 ปีเทียบกับ 15.1 ปี (P=0.01) และแถมยังมีสภาวะหดหู่ซึมเศร้าน้อยกว่า ย้อนหลังไปนานกว่าสองปี นับจากพบหมอครั้งสุดท้าย คือ 17.5% เทียบกับ 29.5%(P=0.05) แต่กลับมีโรคประจำตัวมากกว่าที่ต้องใช้ยาละลายลิ่มเลือด คือ 55.2% เทียบกับ 38.2% (P=0.01)

ในกลุ่มที่การทำงานของสมองยังดี กลับพบว่าสูบบุหรี่มาตลอดชีวิต 66.7% เทียบกับ 45.7% ของกลุ่มสมองแย่ (P=0.002) 
และกลุ่มที่สมองยังดีอยู่นี้ ยังตกอยู่ในกลุ่มที่สูบบุหรี่มาไม่นานภายใน 30 วันก่อนที่จะทำการตรวจครั้งสุดท้าย คือ 13.2% เทียบกับ 4.6% (P=0.03)

เมื่อจัดการปรับกระบวนการทางสถิติเป็น multivariate analysis แทน bivariate ดังข้างต้น ยังคงยืนยันว่ากลุ่มที่สมองยังดี แก่กว่า มีปีการศึกษานานกว่า และผอมกว่าโดยมีดัชนีมวลกาย หรือ BMI น้อยกว่า และเป็นคนที่สูบบุหรี่มาตลอดชีวิตและยังใช้ยาละลายลิ่มเลือด หรือยาต้านเกล็ดเลือดมากกว่า การใช้ยาต้านเกล็ดเลือดแอสไพรินหรือยาละลายลิ่มเลือด จะสัมพันธ์ค่าสถิติในการปกป้องสมองในอัลไซเมอร์ OR=1.87 ในขณะที่สูบบุหรี่มาตลอดชีวิตจะมี OR=2.78

ข้อมูลเกี่ยวกับบุหรี่และอัลไซเมอร์ ดูคล้องจองกับอีกหนึ่งรายงานในโรคพาร์กินสันเมื่อไม่นานมานี้ที่พบว่า บุหรี่ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคได้ 40%


ทั้งนี้ คณะผู้วิจัยรวมทั้งหมอทั่วโลกและตัวหมอเองยืนยัน นั่งยันว่า

 

บุหรี่ไม่ใช่ทางออก ทางเลือกแม้การสูบบุหรี่ดูเหมือนจะทำให้สมองที่พังแล้วยังดูทนทานและคล้ายกับสมองยังดีได้ แต่ผลกระทบกลับมากมาย และคนสูบบุหรี่ที่ยังรอดชีวิตอยู่ดังในรายงานนี้น่าจะไม่ได้มีมากนักในประชากรทั่วไป

สำหรับข้อสรุปการใช้ยาละลายลิ่มเลือดหรือยาต้านเกล็ดเลือด อาจตีความจากคณะผู้วิจัยว่า มีผลช่วยให้สมองทนทานขึ้น แต่ข้อสรุปนี้เป็นการตีความจากการติดตามทางระบาดวิทยาเท่านั้นยังไม่สามารถหาความเชื่อมโยงสัมพันธ์เป็นเหตุและผลกันได้ชัดเจน จะมีก็แต่เรื่องของบุหรี่ซึ่งเมื่อใช้พริกที่มีปริมาณนิโคตินอยู่บ้างที่ไม่เป็นอันตรายกลับได้ผลเช่นกันในโรคพาร์กินสัน
ทั้งนี้ เนื่องจากกลไกของการเกิดสมองเสื่อมทั้งสองโรคคล้ายกันด้วยการก่อตัวของโปรตีนพิษบิดเกลียว ดังนั้น การกินพริกหยวก พริกตุ้ม แดง เขียว เหลือง มะเขือเทศ รวมไปจนกระทั่งถึงพริกขี้หนูควรจะเป็นกระบวนการที่ต้องส่งเสริมที่สำคัญโดยทั้งสามารถป้องกันและชะลอโรคที่เกิดขึ้นแล้วได้ และหยุดบุหรี่เด็ดขาดเอาบุหรี่ขุดหลุมฝัง เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นเอาไปสูบต่อ หยุดเดี๋ยวนี้เพื่อตนเอง ครอบครัว สังคม และระบบสาธารณสุขไทย.เพียงแค่กินพริก ก็ช่วยสมองได้
 

 

รายงานนี้จับประเด็นตรงที่พริกมีปริมาณนิโคตินสูง ดังนั้น อาจจะให้ผลเหมือนกับการสูบบุหรี่ 

 

จากการประเมินผู้ป่วยพาร์กินสัน 490 ราย เทียบกับคนปกติ 644 ราย เกี่ยวกับการรับประทานอาหารและชนิดของเครื่องปรุง พบว่าคนที่บริโภคพืชที่อยู่ในตระกูล Solanaceae สัมพันธ์กับการไม่เกิดโรคพาร์กินสัน 
แต่ชนิดของอาหารที่สำคัญที่สุดคือพริก และลดความเสี่ยงได้ถึง 30% แม้แต่มะเขือเทศจะอยู่ในตระกูลเดียวกัน แต่ประโยชน์ที่ได้ดูจะน้อยกว่าพริก ทั้งนี้อาจจะเป็นจากการที่มะเขือเทศมีปริมาณนิโคตินน้อยกว่า
อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทราบว่านิโคตินอย่างเดียวหรือมีสารอื่นๆในพริกที่ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดพาร์กินสัน

รายงานจากการประชุมล่าสุดของสมาคมอัลไซเมอร์ และเป็นการประชุมนานาชาติในปี 2565 นี้เอง ทำการศึกษาคนที่เป็นอัลไซเมอร์ร้อยเปอร์เซ็นต์ที่เสียชีวิต 654 ราย และทำการชันสูตรสมอง ทั้งนี้พบพยาธิสภาพของโรคนี้อย่างรุนแรงตามมาตรฐานของ National Institute on Aging-Reagan criteria pathology ซึ่งรวมลักษณะผิดปกติของการมี neuritic plaques และมีพยาธิสภาพในขั้น V/VI ตาม Braak &Braak staging
ผู้ป่วยเหล่านี้ทั้งหมดได้ไปพบแพทย์ในระยะสองปีก่อนเสียชีวิตและได้ประเมินการทำงานของสมองด้วยการทดสอบ MMSE ทั้งนี้ ด้วยคะแนนที่ 24 หรือมากกว่า

หมายความว่าการทำงานพุทธิปัญญายังพอใช้ได้ ช่วยตัวเองได้และจำนวนทั้งหมดนี้มี 59 รายหรือ 9% ที่การทำงานของสมองยังดูดีอยู่หรือ อาจจะเรียกได้ว่ามีความทนทานและยืดหยุ่นแม้ว่าในสมองตอนตายแล้วในเวลาถัดมาจะเสียหายมากมายมหาศาลไปแล้วก็ตาม 

โดยในจำนวนที่เหลืออีก 595 รายหรือ 91% สภาพการทำงานอยู่ในระดับแย่

ทั้งๆ ที่กลุ่มที่ยังมีสมองดีจะมีอายุมากกว่าก็ตามในการพบหมอครั้งสุดท้ายคืออายุ 81.4 ปี เทียบกับ 77.7 ปี (P=0.005) รวมทั้งอาจมีจำนวนปีของการศึกษามากกว่าบ้างคือ 16.5 ปีเทียบกับ 15.1 ปี (P=0.01) และแถมยังมีสภาวะหดหู่ซึมเศร้าน้อยกว่า ย้อนหลังไปนานกว่าสองปี นับจากพบหมอครั้งสุดท้าย คือ 17.5% เทียบกับ 29.5%(P=0.05) แต่กลับมีโรคประจำตัวมากกว่าที่ต้องใช้ยาละลายลิ่มเลือด คือ 55.2% เทียบกับ 38.2% (P=0.01)
ในกลุ่มที่การทำงานของสมองยังดี กลับพบว่าสูบบุหรี่มาตลอดชีวิต 66.7% เทียบกับ 45.7% ของกลุ่มสมองแย่ (P=0.002) 
และกลุ่มที่สมองยังดีอยู่นี้ ยังตกอยู่ในกลุ่มที่สูบบุหรี่มาไม่นานภายใน 30 วันก่อนที่จะทำการตรวจครั้งสุดท้าย คือ 13.2% เทียบกับ 4.6% (P=0.03)

เมื่อจัดการปรับกระบวนการทางสถิติเป็น multivariate analysis แทน bivariate ดังข้างต้น ยังคงยืนยันว่ากลุ่มที่สมองยังดี แก่กว่า มีปีการศึกษานานกว่า และผอมกว่าโดยมีดัชนีมวลกาย หรือ BMI น้อยกว่า และเป็นคนที่สูบบุหรี่มาตลอดชีวิตและยังใช้ยาละลายลิ่มเลือด หรือยาต้านเกล็ดเลือดมากกว่า

การใช้ยาต้านเกล็ดเลือดแอสไพรินหรือยาละลายลิ่มเลือด จะสัมพันธ์ค่าสถิติในการปกป้องสมองในอัลไซเมอร์ OR=1.87 ในขณะที่สูบบุหรี่มาตลอดชีวิตจะมี OR=2.78

ข้อมูลเกี่ยวกับบุหรี่และอัลไซเมอร์ ดูคล้องจองกับอีกหนึ่งรายงานในโรคพาร์กินสันเมื่อไม่นานมานี้ที่พบว่า บุหรี่ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคได้ 40%

ทั้งนี้ คณะผู้วิจัยรวมทั้งหมอทั่วโลกและตัวหมอเองยืนยัน นั่งยันว่า บุหรี่ไม่ใช่ทางออก ทางเลือกแม้การสูบบุหรี่ดูเหมือนจะทำให้สมองที่พังแล้วยังดูทนทานและคล้ายกับสมองยังดีได้ แต่ผลกระทบกลับมากมาย และคนสูบบุหรี่ที่ยังรอดชีวิตอยู่ดังในรายงานนี้น่าจะไม่ได้มีมากนักในประชากรทั่วไป


สำหรับข้อสรุปการใช้ยาละลายลิ่มเลือดหรือยาต้านเกล็ดเลือด อาจตีความจากคณะผู้วิจัยว่า มีผลช่วยให้สมองทนทานขึ้น แต่ข้อสรุปนี้เป็นการตีความจากการติดตามทางระบาดวิทยาเท่านั้นยังไม่สามารถหาความเชื่อมโยงสัมพันธ์เป็นเหตุและผลกันได้ชัดเจน จะมีก็แต่เรื่องของบุหรี่ซึ่งเมื่อใช้พริกที่มีปริมาณนิโคตินอยู่บ้างที่ไม่เป็นอันตรายกลับได้ผลเช่นกันในโรคพาร์กินสัน
ทั้งนี้ เนื่องจากกลไกของการเกิดสมองเสื่อมทั้งสองโรคคล้ายกันด้วยการก่อตัวของโปรตีนพิษบิดเกลียว ดังนั้นการกินพริกหยวก พริกตุ้ม แดง เขียว เหลือง มะเขือเทศ รวมไปจนกระทั่งถึงพริกขี้หนูควรจะเป็นกระบวนการที่ต้องส่งเสริมที่สำคัญโดยทั้งสามารถป้องกันและชะลอโรคที่เกิดขึ้นแล้วได้ 

และหยุดบุหรี่เด็ดขาดเอาบุหรี่ขุดหลุมฝัง เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นเอาไปสูบต่อ

หยุดเดี๋ยวนี้เพื่อตนเอง ครอบครัว สังคม และระบบสาธารณสุขไทย

ขอขอบคุณที่มา >>

logoline