สุราเมระยะ มัชชะ ปะมาทัฏฐานา
ศีลข้อ 5 ที่กล่าวถึงเจตนางดเว้นจากการดื่มของมึนเมา ทั้งสุรา เมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ทำลายสติสัมปชัญญะ และเป็นการง่ายที่จะทำสิ่งผิดศีลธรรม ผิดกฎหมายบ้านเมือง สิ้นเปลืองทรัพย์ ซ้ำยังเป็นบ่อนทำลายสุขภาพโดยตรง แม้รู้ว่าการดื่มสุราเป็นประจำจะส่งผลเสียต่อสุขภาพหรือกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันก็ตาม แต่หลายคนก็ยังไม่เลิกดื่ม หรือบางคนอาจถึงขั้น Alcoholism
หนึ่งในโทษที่เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากติดต่อกันเป็นเวลานานจนไม่สามารถเลิกดื่มได้ คือการเป็น “โรคพิษสุราเรื้อรัง” ที่มักแสดงความอยากหรือกระหายอย่างมากที่ต้องการจะดื่มสุรา ควบคุมตัวเองไม่ได้ เมื่อห่างจากสุราจะมีอาการต่างๆ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เหงื่อออก มือสั่น กระวนกระวาย และอาการดังกล่าวมักจะหายไป เมื่อดื่มสุราหรือกินยานอนหลับ หรือมีอาการเหมือนดื้อยา คือมีความต้องการดื่มสุราในขนาดมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่จะให้สุราออกฤทธิ์เท่าเดิม
3 ระยะโรคพิษสุราเรื้อรัง
ผู้ป่วยโรคพิษสุราเรื้อรังอาจมีอาการแตกต่างกันไป แต่โดยทั่วไป อาการบ่งชี้ของโรคนี้มี 3 ระยะ ได้แก่
ระยะแรก
ระยะกลาง
ระยะรุนแรง
สาเหตุของโรคพิษสุราเรื้อรัง
การดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากส่งผลให้สารเคมีในสมองเปลี่ยนแปลงและทำให้เกิดความรู้สึกสุขสมตามมา จนอาจทำให้ความรู้สึกดังกล่าวส่งผลต่อผู้บริโภคให้ต้องการดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากขึ้นเรื่อย ๆ และเกิดการเสพติดในที่สุด ซึ่งหากหยุดดื่มอาจมีอาการขาดสุราตามมาจึงทำให้เลิกดื่มได้ยากไปด้วย
โดยผู้ที่อยู่ในกลุ่มต่อไปนี้ อาจเสี่ยงต่อโรคพิษสุราเรื้อรังมากกว่าคนทั่วไป
หากพบว่าตัวเองหรือคนใกล้ชิดมีอาการบ่งชี้ของโรคพิษสุราเรื้อรัง ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและเข้ารับการบำบัดรักษาอย่างถูกต้อง
โรคพิษสุราเรื้อรังรักษาได้
การรักษาโรคพิษสุราเรื้อรังมีจุดประสงค์เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยหยุดดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
การรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคพิษสุราเรื้อรังขั้นรุนแรง
แพทย์จะเฝ้าดูอาการขาดสุราตลอด 24 ชั่วโมง โดยให้ผู้ป่วยเข้ารับการบำบัดในโรงพยาบาลด้วย เมื่อผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นแพทย์จึงจะอนุญาตให้กลับบ้านได้ แต่หลังจากนั้นผู้ป่วยจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องจนหายดี
ภาวะแทรกซ้อนจากโรคพิษสุราเรื้อรัง
การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพและการใช้ชีวิตในด้านต่าง ๆ ดังนี้
ระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติ เช่น โรคกระเพาะอาหารอักเสบ โรคตับอ่อนอักเสบ เกิดแผลในหลอดอาหารหรือกระเพาะอาหาร การดูดซึมวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ ลดลง เป็นต้น
โรคตับ อาจเกิดโรคหรือความผิดปกติใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับตับ อย่างไขมันพอกตับหรือตับอักเสบจากแอลกอฮอล์ รวมถึงโรคตับแข็งที่อาจส่งผลให้เกิดการสะสมของเสียจำพวกยูเรียจนเกิดพิษต่อสมองได้
โรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น ความดันโลหิตสูง หัวใจโต หัวใจล้มเหลว ภาวะหัวใจห้องบนเต้นสั่นพลิ้ว และโรคหลอดเลือดสมอง เป็นต้น
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ แอลกอฮอล์มีฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งกลูโคสของตับ และอาจก่อให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำตามมา ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่กำลังใช้ยาอินซูลินเพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือดจึงควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้ระดับน้ำตาลยิ่งลดต่ำลงจนเป็นอันตราย
พัฒนาการทางเพศผิดปกติ ผู้ป่วยชายอาจเสี่ยงต่อภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ส่วนผู้ป่วยหญิงอาจเสี่ยงต่อภาวะประจำเดือนมาไม่ปกติ
ความพิการแต่กำเนิด หญิงตั้งครรภ์ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำอาจเสี่ยงต่อการแท้งบุตร หรือเผชิญกับกลุ่มอาการทารกในครรภ์ได้รับแอลกอฮอล์ จนส่งผลให้เด็กมีการเจริญเติบโตและพัฒนาการที่ผิดปกติ
กระดูกเกิดความเสียหาย อาจเกิดโรคกระดูกพรุน หรือไขกระดูกซึ่งมีหน้าที่ผลิตเซลล์เม็ดเลือดถูกทำลาย จนส่งผลให้เกล็ดเลือดมีปริมาณลดลง ผู้ป่วยจึงเสี่ยงต่อภาวะเลือดออกมากกว่าปกติ
ความผิดปกติทางระบบประสาท เช่น มือเท้าชา กระบวนการคิดผิดปกติ ภาวะสูญเสียความทรงจำชั่วคราว หรือโรคสมองเสื่อม เป็นต้น
ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ผู้ป่วยโรคพิษสุราเรื้อรังอาจเสี่ยงต่อโรคติดเชื้อต่าง ๆ มากกว่าปกติ เช่น โรคปอดบวม เป็นต้น
มะเร็ง ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากอาจเสี่ยงต่อมะเร็งชนิดต่าง ๆ มากกว่าคนทั่วไป เช่น มะเร็งช่องปาก มะเร็งลำคอ มะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม เป็นต้น
การเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับแอลกอฮอล์ การดื่มแอลกอฮอล์อาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของยารักษาที่ผู้ป่วยกำลังรับประทานอยู่ โดยฤทธิ์ของยาอาจลดลง มากขึ้น หรือกลายเป็นพิษต่อร่างกายได้
ปัญหาในการดำเนินชีวิต การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากอาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน การเรียน การทำงาน และความสัมพันธ์กับผู้อื่น ทั้งยังเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุประเภทต่าง ๆ เช่น รถชน ตกจากที่สูง เป็นต้น นอกจากนี้ อาจเสี่ยงต่อการก่ออาชญากรรม การข้องเกี่ยวกับอาชญากรรม หรือการตกเป็นเหยื่อของอาชญากร เช่น การถูกล่วงละเมิดทางเพศ เป็นต้น ตลอดจนเสี่ยงควบคุมตัวเองไม่ได้และนำไปสู่การฆ่าตัวตาย
โรคพิษสุราเรื้อรังป้องกันได้ด้วยตัวเอง
โรคพิษสุราเรื้อรังสามารถป้องกันได้ เพียงจำกัดปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์ของตัวเอง โดยทั่วไปเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แต่ละชนิดมักมีปริมาณแอลกอฮอล์ไม่เท่ากัน โดย 1 ดื่มมาตรฐานของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะเท่ากับเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่ 10 กรัม เฉลี่ยแล้ว 1 ดื่ม อาจเท่ากับเบียร์ 360 มิลลิลิตร ไวน์ 150 มิลลิลิตร และสุรา 45 มิลลิลิตร จากคำแนะนำของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุขประเทศไทย ผู้ชายไม่ควรดื่มเกิน 4 ดื่มมาตรฐาน/วัน ส่วนผู้หญิงไม่ควรดื่มเกิน 2 ดื่มมาตรฐาน/วัน
คำแนะนำ วัยรุ่นอาจเป็นวัยที่เสี่ยงต่อโรคพิษสุราเรื้อรังค่อนข้างสูง พ่อแม่จึงควรสังเกตสัญญาณผิดปกติที่เกิดขึ้นกับลูก พูดคุยและทำกิจกรรมร่วมกับลูกเป็นประจำ เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูกในเรื่องการดื่มแอลกอฮอล์ พร้อมสร้างบรรทัดฐานที่เหมาะสม เพื่อให้ลูกปฏิบัติตามและเรียนรู้ว่าสิ่งใดควรทำหรือไม่ควรทำ