อีกหนึ่งประเด็นร้อนๆ ที่ว่าด้วยเรื่อง "สิ่งแวดล้อม"
ภายหลังศาลปกครองเชียงใหม่พิพากษา นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทรโอชา และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ กรณีละเลยต่อหน้าที่แก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 พร้อมสั่งให้ใช้อำนาจตามกฎหมายที่มี เฝ้าระวัง ป้องกัน บรรเทา และแก้ไขปัญหามลพิษฝุ่นใน จ.เชียงใหม่ ให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
ล่าสุดทางด้าน นายบัณรส บัวคลี่ ฝ่ายข้อมูลและผลักดันนโยบาย เครือข่ายสภาลมหายใจภาคเหนือ แสดงความเห็นว่า
หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาตรการแก้ปัญหาฝุ่นควัน PM2.5 ปัญหาดังกล่าวก็จะยังคงยืดเยื้อ และอาจทำให้รัฐบาลชุดหน้าถูกภาคประชาชนฟ้องร้องอีกได้
“แม้ศาลปกครองเชียงใหม่พิพากษานายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทรโอชา และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติต้องใช้อำนาจที่มีตามกฎหมาย แก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 คำพิพากษาดังกล่าวอาจไม่ได้มีผลทำให้เกิดการแก้ปัญหาฝุ่นควัน PM2.5 ได้ เพราะรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ กำลังจะหมดวาระในไม่ช้า ดังนั้นความหวังที่จะแก้ปัญหาฝุ่นควัน PM2.5 ที่เรื้อรังทุกปีในพื้นที่ภาคเหนือ จึงตกอยู่กับรัฐบาลชุดหน้า ที่กำลังจัดตั้งในเร็วๆ นี้” นายบัณรส กล่าว
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2566 ศาลปกครองเชียงใหม่โดย น.ส.พิชญ์ณัฎฐ์ ตุลาการผู้แถลงคดี อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ ส. 2/2566 คดีหมายเลขแดงที่ ส. 2/2566 คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ระหว่าง นายวสุชาติ พิชัย ผู้ฟ้องคดี กับ นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 โดยมีใจความสรุปดังนี้
จากการไต่สวนจาก ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คำพิพากษาศาลปกครองระบุว่า เนื่องจากค่าฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี และส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนจริง ทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว จนเกินกำลังของบุคลากรทางการแพทย์ ตามคำชี้แจงของคณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ , ผู้อำนวยการสำนักงานหลักประกันสุขภาพเขตที่ 1 เชียงใหม่ และผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่
ศาลปกครอง เห็นว่า
แม้สถานการณ์ปัญหาควัน หรือ ฝุ่นละออง ที่เกิดขึ้นในท้องที่จังหวัดเชียงใหม่ได้คลี่คลายลงแล้ว ตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ปัญหาควันหรือฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5ไมครอน (PM2.5) ในเขตจังหวัดเชียงใหม่ยังคงเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปีอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มว่าจะทวีความรุนแรงขึ้น อันจะก่อให้เกิดผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน และเกิดผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม
จึงพิพากษาให้ นายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ร่วมกันใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งดำเนินการอื่นใด เพื่อระวัง ป้องกัน บรรเทา และแก้ไขปัญหามลพิษอันเกิดจากควันหรือฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ในเขตจังหวัดเชียงใหม่ให้อยู่ในค่ามาตรฐาน และเกณฑ์ดัชนีคุณภาพอากาศของประเทศในระดับดีมากหรือระดับดีต่อสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อมในอนาคตได้อย่างทันท่วงที