รู้หรือไม่? ประเทศไทยมีความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอันดับที่ 9 ของโลก ตามการประเมินของ Global Climate Risk Index
จากบทวิเคราะห์ที่ว่าด้วย “นโยบายสิ่งแวดล้อม-พลังงงาน ในการเลือกตั้ง 66” ของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ผ่านบทความ ข้อเสนอสำหรับพรรคการเมืองต่อ “4 นโยบายด้านสังคม ในการเลือกตั้งทั่วไป 2566 ซึ่งรวมถึงบทวิเคราะห์ต่อนโยบายด้าน “สวัสดิการสังคม – สุขภาพ – การศึกษาพื้นฐาน” ในการเลือกตั้งครั้งที่กำลังจะมาถึง โดยคณะผู้จัดทำรายงาน บุญวรา สุมะโน (นโยบายสวัสดิการสังคม) วิโรจน์ ณ ระนอง (นโยบายด้านสุขภาพ) ณัฐวุฒิ เพิ่มจิตร (นโยบายการศึกษาระดับพื้นฐาน) และ ชาริกา ชาญนันทพิพัฒน์ และขจรพงศ์ ประศาสตรานุวัตร (นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงาน)
สะท้อนให้เห็นว่าหากลงลึกในรายละเอียดและเปรียบเทียบกับนโยบายด้านอื่นๆ ที่มีให้เห็นในทุกพรรคจากการหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ อย่างนโยบายการให้สวัสดิการสังคม นโยบายด้านสุขภาพ นโยบายการศึกษาระดับพื้นฐานแล้ว ดูเหมือนว่า “นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงาน” ยังคงไม่ได้รับความสนใจจากพรรคการเมืองต่างๆ มากนัก หรือถูกนำเสนอเพียงในลักษณะของนโยบายด้าน “ปากท้อง”
ซึ่งตัวอย่างนโยบายที่หลายพรรคการเมืองนำเสนอ ได้แก่ การใช้พลังงานหมุนเวียน การขายคาร์บอนเครดิต การแก้ไขระเบียบการซื้อขายไฟฟ้า และการแก้ไขปัญหา PM2.5 เป็นต้น
แต่นโยบายที่สำคัญและยังไม่มีพรรคการเมืองใดเสนอเลยคือ นโยบายที่เกี่ยวกับการปรับตัวและการลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะเป็นปัญหาใหญ่มากต่อประเทศไทยที่มีความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอันดับที่ 9 ของโลกตามการประเมินของ Global Climate Risk Index
นอกจากนี้ พรรคการเมืองก็ยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนนักในการทำให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี ค.ศ. 2065 หรือ พ.ศ. 2608 ตามที่ประกาศต่อประชาคมโลก แม้จะมีบางพรรคการเมืองเสนอให้เลิกการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินภายในปี พ.ศ. 2580 หรือส่งเสริมการใช้มอเตอร์ไซค์หรือรถยนต์ไฟฟ้า (EV) มากขึ้น ซึ่งเป็นแนวนโยบายที่ดี แต่นโยบายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกก็ถูกบางพรรคการเมืองลดทอนลงจนเหลือเพียงการสร้างรายได้จาก “คาร์บอนเครดิต” ของเกษตรกร ซึ่งเป็นการแปลงนโยบาย “สิ่งแวดล้อม” เป็นนโยบาย “ปากท้อง” ทั้งที่การจะสร้างรายได้ดังกล่าวให้เกิดขึ้นจริง และทำให้คุณภาพคาร์บอนเครดิตไทยสูงขึ้นนั้น จะต้องพัฒนาตลาดคาร์บอนเครดิตของไทยให้ได้มาตรฐานสากล ซึ่งจะต้องดำเนินการในด้านต่างๆ อีกมาก
นโยบายที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่หลายพรรคการเมืองนำเสนอคือ การเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน (Energy Transition) ไปสู่การใช้พลังงานสะอาด เช่น การส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าด้วยแผงโซล่าร์ หรือเลิกการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหิน ในขณะเดียวกันก็มีหลายพรรคการเมืองเสนอนโยบายลดค่าไฟฟ้าหรืออุดหนุนค่าไฟฟ้าแก่ผู้ใช้ไฟบางกลุ่ม เช่น เกษตรกร หรือแก่ประชาชนทั่วไปทั้งหมด ซึ่งอาจนำไปสู่การเพิ่มปริมาณก๊าซเรือนกระจก หากไม่สามารถเปลี่ยนผ่านทางพลังงานได้อย่างรวดเร็วเพียงพอ
นอกจากนี้ นโยบายการลดค่าไฟฟ้าน่าจะมีความท้าทายในทางปฏิบัติมาก เนื่องจากข้อจำกัดในปัจจุบันจากสัญญาการซื้อขายพลังงานระยะยาวจากผู้ผลิตไฟฟ้าภาคเอกชน และการสำรองไฟฟ้าของประเทศในระดับสูงมาก แม้บางพรรคการเมืองเสนอนโยบาย “รื้อโครงสร้างพลังงาน” แต่ก็ยังไม่เสนอรายละเอียด ดังนั้นพรรคการเมืองที่เสนอนโยบาย “ลดค่าไฟฟ้า” หรือ “รื้อโครงสร้างพลังงาน” จึงควรให้รายละเอียดต่อแนวทางในการบรรลุวัตถุประสงค์ของนโยบายดังกล่าวด้วย
ปัญหา PM2.5 เป็นปัญหาที่สำคัญ เนื่องจากก่อให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตของประชาชนปีละกว่า 3 หมื่นคน และยังมีผลกระทบด้านสุขภาพต่อประชาชนจำนวนมาก เป็นเรื่องดีที่หลายพรรคการเมืองเสนอนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว เช่น นโยบายในการส่งเสริมระบบขนส่งสาธารณะที่ใช้พลังงานไฟฟ้า การห้ามเผาป่าและแปลงเกษตร ซึ่งเป็นแนวทางที่ถูกต้อง
อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหานี้ให้เกิดผลสำเร็จจะต้องอาศัยความร่วมมือของหลายกระทรวง ซึ่งจะเป็นเรื่องท้าทายมากในรัฐบาลผสมที่น่าจะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้ง พรรคการเมืองจึงควรสร้างฉันทามติร่วมกันในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวมากกว่าจะแข่งขันกันทางนโยบายเหมือนในเรื่องอื่น