คณะกรรมการการเลือกตั้งอินเดียเริ่มทยอยประกาศผลการนับคะแนนเลือกตั้งทั่วไปในวันอังคาร หลังจากการเลือกตั้งที่แบ่งเป็น 7 ระยะ และใช้เวลา 44 วัน เสร็จสิ้นลงเมื่อสุดสัปดาห์ และพรรคภารติยะ ชนะตะ (BJP) ของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี คาดว่า จะเป็นพรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุด แต่ไม่สามารถครองเสียงข้างมากเด็ดขาดเพียงพรรคเดียวได้ โดยขณะนี้พรรคมีคะแนนนำใน 236 ที่นั่ง ต่ำกว่าเกณฑ์เสียงข้างมากที่ต้องได้ 272 ที่นั่ง ทำให้การจัดตั้งรัฐบาลจะต้องพึ่งเสียงจากพรรคพันธมิตร
ก่อนหน้านี้พรรค BJP ได้รับเลือกตั้ง 303 ที่นั่งในปี 2562 และ 282 ที่นั่งในปี 2557
ส่วนผลเลือกตั้งครั้งนี้ พันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติ (NDA) ภายใต้การนำของ BJP มีคะแนนนำใน 281 ที่นั่ง
ขณะที่พันธมิตรพรรคฝ่ายค้านภายใต้ชื่อ พันธมิตรการพัฒนาแห่งชาติอินเดีย หรือ INDIA ภายใต้การนำของพรรคคองเกรส มีคะแนนนำใน 224 ที่นั่ง และพรรคคองเกรสของนายราหุล คานธี นำอยู่ 99 ที่นั่ง
การเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้เป็นการเลือกสมาชิสภาผู้แทนราษฎร หรือ โลกสภา จำนวน 543 ที่นั่ง จากทั้งหมด 28 รัฐ และ 8 ดินแดนสหภาพ และมีจำนวนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งมากกว่า 642 ล้านคน ในช่วงระหว่างวันที่ 19 เมษายน-1 มิถุนายน หรือคิดเป็น 66.5% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมดเกือบ 969 ล้านคน ถือเป็นจำนวนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ
นายกรัฐมนตรีโมดีคาดหวังว่า BJP จะชนะสมัยที่ 3 ด้วยเสียงข้างมากถล่มทลาย ที่จะทำให้เขาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 2 ที่ได้รับเลือกตั้งติดต่อกันเป็นสมัยที่ 3 เช่นเดียวกับชวาหะลาล เนห์รู นายกรัฐมนตรีคนแรก BJP ตั้งเป้าว่า พรรคจะได้ 370 ที่นั่ง และพันธมิตร NDA จะได้ที่นั่งรวมกัน 400 ที่นั่ง
แต่ผลเลือกตั้งที่ส่อว่า BJP ได้คะแนนเสียงน้อยกว่าที่คาด บ่งชี้ว่า เป็นผลกระทบจากกระแสความไม่พอใจต่อรัฐบาลชุดเดิม ในขณะที่ประเด็นเงินเฟ้อพุ่งสูงเป็นปัญหาใหญ่ที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งกังวลมากที่สุดในการเลือกตั้งครั้งนี้
นอกจากนี้นักวิเคราะห์ มองว่า ผลเอ็กซิตโพลล์ไม่น่าเชื่อถืออย่างมาก หลังจากเอ็กซิตโพลล์ของ 7 แห่ง คาดว่า BJP และพันธมิตรจะชนะ 350-380 ที่นั่ง
ขณะที่ตลาดหุ้นอินเดียดิ่งลงกว่า 7% เมื่อช่วง 12.41 น. ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งอาจต่ำที่สุดในรอบ 4 ปี หลังผลคะแนนบ่งชี้ว่า พันธมิตรพรรครัฐบาลของโมดีจะได้รับชัยชนะโดยได้คะแนนเสียงน้อยกว่าที่ตั้งเป้าไว้