สำหรับหลายๆ คน การท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัด หรือเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ คงจะเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง หากไม่ได้ออกไปเที่ยวยามค่ำคืน แล้วดื่มแอลกอฮอล์กับเพื่อนร่วมทริป หลายคนอาจจะดื่มหนักไปหน่อย จนทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ จนแทบจะไปเที่ยวในวันต่อไปไม่ไหว นั่นจึงทำให้เกิดแนวคิดการเที่ยวแบบ Dry Tripping ซึ่งหมายถึงการเดินทางไปท่องเที่ยว โดยไม่มีการดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อที่จะให้ร่างกายมีความพร้อมมากที่สุด ที่จะสัมผัสประสบการณ์ท่องเที่ยวแบบไม่แฮงโอเวอร์
แนวคิดการเดินทางท่องเที่ยวแบบ Dry Tripping กำลังถูกพูดถึงกันอย่างมากในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาว Gen Z ซึ่งปกติแล้ว ชาว Gen Z ก็ดื่มแอลกอฮอล์น้อยลงมาก หากเทียบกับคนรุ่นก่อน โดยข้อมูลของศูนย์วิจัยสุราและไวน์นานาชาติ หรือ IWSR แสดงให้เห็นว่าชาว Gen Z ในสหรัฐฯ กว่า 54% เปิดเผยว่าไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์เลย ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา
ชาว Gen Z รวมถึงชาวมิลเลนเนียลด้วย จึงรู้สึกว่าการดื่มแอลกอฮอล์ขณะเดินทางท่องเที่ยวเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไร เพราะจะทำให้ร่างกายและจิตใจไม่มีความพร้อมที่จะสนุกสนานกับการเดินทางได้อย่างเต็มที่ ปกติการเดินทางท่องเที่ยวก็ทำให้ร่างกายเหนื่อยล้ามากๆ อยู่แล้ว ตั้งแต่การนั่งเครื่องบินนานหลายชั่วโมง การอยู่ผิดที่ ผิดเวลา ซึ่งทำให้ร่างกายนอนไม่หลับ เราจึงควรลดพฤติกรรมที่เพิ่มภาระให้กับร่างกายที่ไม่จำเป็น อย่างการดื่มแอลกอฮอล์ ที่สำคัญ การดื่มแอลกอฮอล์ ยังเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นระหว่างเดินทางด้วย
วิกตอเรีย วัตเตอร์ส ผู้ร่วมก่อตั้ง Dry Atlas บริษัทสื่อที่ส่งเสริมกิจกรรมไร้แอลกอฮอล์ ให้สัมภาษณ์กับ BBC ว่า เทรนด์การจัดกิจกรรมที่ไร้แอลกอฮอล์ ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับการเดินทางเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นกับการจัดงานอีเวนท์ต่างๆ ที่ผู้จัดงานหลายคนเริ่มจะเลือกจัดงานแบบไร้แอลกอฮอล์ เช่น งานแต่งงาน หรือ งานวันเกิด สายการบินหลายๆ แห่ง ก็เริ่มจัดเที่ยวบินไร้แอลกอฮอล์ เช่น สายการบินเดลตา สายการบินเจ็ตบลู สายการบินอลาสกา และยังมีเรือสำราญ Virgin Voyages ที่ตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นเรือสำราญที่ดีที่สุดในโลก สำหรับคนที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ เพราะเชื่อมั่นว่าการไม่ดื่มแอลกอฮอล์ จะทำให้ผู้ร่วมงาน และนักเดินทาง จดจำช่วงเวลาและประสบการณ์ดีๆ ได้มากกว่า