เชื่อว่าหลายคนน่าจะมีโอกาสได้ใช้งานหรือได้ยินชื่อของ “Bard” แชทบอท AI ของ Google ที่เปิดตัวเมื่อปี 2023 เพื่อลงสนามแข่งขันกับ ChatGPT ของ OpenAI และได้รับความนิยมค่อนข้างสูง ด้วยความสามารถในการสื่อสารตอบโต้กับผู้ใช้งานและตอบคำถามต่างๆได้ในระดับที่น่าพึงพอใจ
แต่ล่าสุดชื่อของ Bard กำลังจะหายไปจากวงการ AI และถูกเปลี่ยนให้เป็น “Gemini” โมเดลปัญญาประดิษฐ์ตัวใหม่ของ Google ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว พร้อมคำอวดอ้างว่าเป็นโมเดล AI ที่ฉลาดที่สุดเท่าที่เคยมีมา
Gemini ทำอะไรได้บ้าง
นอกจากจะมีฟีเจอร์พื้นฐานของแชทบอทอย่างการโต้ตอบกับผู้ใช้ การตอบคำถามหรือแก้ปัญหาต่างๆ ไปจนถึงให้คำแนะนำในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ Gemini ยังสามารถทำงานที่ซับซ้อนได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารด้วยเสียงกับผู้ใช้งานแบบเรียลไทม์ ประเมินผลข้อมูลผ่านภาพถ่ายหรือวิดีโอ การตอบคำถามที่ต้องใช้จินตนาการ เช่น หากเราวาดรูปกีตาร์ให้ Gemini ดู มันก็สามารถตอบสนองด้วยการเลือกเสียงเพลงที่เข้ากับรูปภาพของเราได้ สามารถตอบโต้อย่างมีอารมณ์ขัน แถมยังเข้าใจภาษาต่างๆ มากถึง 40 ภาษา
โดยทาง Google ได้เคยให้นิยามความสามารถที่หลากหลายของ Gemini ไว้ว่า
“นี่คือ AI ที่มีความเข้าใจในความต้องการที่ซับซ้อนของมนุษย์มากขึ้น มีความคิดที่เป็นเหตุเป็นผล และมีจินตนาการมากกว่าการจดจำข้อมูลมาให้คำตอบเฉยๆ สามารถตอบสนองได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว”
เราจะใช้งาน Gemini ได้จากไหน
แอปพลิเคชั่น Gemini จะเปิดให้ผู้ใช้เข้าถึงอย่างเต็มตัวภายในสัปดาห์นี้ โดยจะเริ่มเปิดตัวเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษในสหรัฐอเมริกาเป็นเป็นประเทศแรก ก่อนจะขยายไปยังภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในสัปดาห์หน้า เป็นเวอร์ชันเป็นภาษาญี่ปุ่นและเกาหลี ส่วนภาษาไทยอาจจะต้องอดใจรอกันอีกสักหน่อย แต่คาดว่าจะเพิ่มเข้ามาในอนาคต
Gemini ใช้ฟรีหรือมีราคา
Gemini มีเวอร์ชันฟรีสำหรับผู้ใช้ทั่วไป และมีตัวเลือก “Gemini Advanced” มูลค่า 20 ดอลลาร์ หรือประมาณ 700 บาทต่อเดือน ซึ่งจะขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยี AI "Ultra 1.0" สามารถประเมินผลข้อมูลที่มีความซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น มาพร้อมกับพื้นที่เก็บข้อมูล 2 เทราไบต์
การเปิดตัว Gemini มีความหมายต่อวงการเทคโนโลยีอย่างไร
การเปิดตัวแอพ Gemini นับเป็นการตอกย้ำช่วงเวลาสำคัญในการนำ AI มาสู่แพลตฟอร์ม “สมาร์ทโฟน” อุปกรณ์พกพาที่ติดตามผู้คนไปได้ทุกสถานที่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทรนด์ที่ Google เริ่มต้นเมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว ด้วยการเปิดตัวสมาร์ทโฟน AI อย่าง Pixel รุ่นล่าสุด จากนั้น Samsung ก็ตามเทรนด์มาติดๆด้วยการเปิดตัว Galaxy รุ่นล่าสุดเมื่อเดือนที่แล้วซึ่งมีฟีเจอร์ AI ด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มความเข้นข้นของการแข่งขันด้านเทคโนโลยี AI ที่มีเดิมพันสูงระหว่าง Google กับ Microsoft ซึ่งเป็น บริษัทที่ทรงอิทธิพลที่สุดสองแห่งของโลก ซึ่งการต่อสู้ดังกล่าวส่งผลให้มูลค่าตลาดรวมของบริษัท Microsoft และบริษัทแม่ของ Google อย่าง Alphabet Inc. เพิ่มขึ้น 2 ล้านล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่สิ้นปี 2565
นอกจากนี้ในบล็อกโพสต์ของ Sundar Puchai ซีอีโอของ Google ยังมีการคาดการณ์ว่าเทคโนโลยีที่เป็นพื้นฐานของ Gemini Advanced จะสามารถคิดได้เร็วกว่าคนที่ฉลาดที่สุดเมื่อต้องจัดการกับหัวข้อที่ซับซ้อนมากมาย โดยระบุว่า “Ultra 1.0 เป็นโมเดลรุ่นแรกที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่าผู้เชี่ยวชาญที่เป็นมนุษย์ ซึ่งมีการใช้บททดสอบผสม 57 วิชา รวมถึงคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ ประวัติศาสตร์ กฎหมาย การแพทย์ และจริยธรรม เพื่อทดสอบความรู้และความสามารถในการแก้ปัญหา”