หนึ่งในเหยื่อที่เป็นชาวมาเลเซียวัย 33 ปี เปิดเผยว่าเขาเห็นโฆษณาในโซเชียลมีเดีย ที่ประกาศรับสมัครเชฟและพนักงานต้อนรับในประเทศไทยจึงได้สมัครไป แต่ปรากฎว่าเขาถูกส่งตัวไปเมียนมาผ่านทางลาว ทั้งยังถูกยึดพาสปอร์ตกับโทรศัพท์มือถือและถูกบังคับให้ทำงานเป็นคอลเซ็นเตอร์
หนังสือพิมพ์ภาษาจีน-มาเลเซีย "China Press" รายงานว่าชายชาวมาเลย์ที่ระบุเพียงแค่นามสกุลว่า "เจิ้ง" ทำงานเป็นกุ๊กอยู่ที่รัฐยะโฮร์ ก่อนจะเห็นโฆษณาในโซเชียลมีเดีย ซึ่งเสนอรายได้ตั้งแต่ 8,000-10,000 ริงกิต (ราว 60,000-75,000 บาท) ทำให้เขาไม่รีรอที่จะคว้าโอกาสเอาไว้ทันที ก่อนพบว่าเสียรู้และสายเกินกว่าจะแก้ไข เมื่อถูกส่งตัวเข้าสู่วงจรหลอกลวงทางออนไลน์ในเมียนมา
เจิ้ง บอกว่าถูกสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์โดยชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน จากนั้นได้เดินทางมายังกรุงเทพฯ เมื่อเดือนเมษายน และ "ผู้จัดหา" บอกว่าเขาต้องไปทำงานที่เชียงราย จากนั้นเขากับคนอื่นอีก 3 คน ได้ถูกพาไปที่พรมแดนไทย-ลาว ก่อนที่กลุ่มชายติดอาวุธจะมาพาข้ามพรมแดนลาวเข้าไปในนิคมอุตสาหกรรมในเมียนมา ซึ่งที่จริงคือศูนย์รวมแก๊งคอลเซ็นเตอร์
เจิ้งถูกบังคับให้ทำงานวันละ 12-18 ชั่วโมง และถ้าหลอกลวงเหยื่อไม่ได้ตามเป้าจะถูกลงโทษทางร่างกาย จนกระทั่งสบโอกาสหลบหนีตอนที่รั้วของนิคมฯ เปิด เนื่องจากมีการปะทะกันระหว่างทหารเมียนมากับกองกำลังติดอาวุธกลุ่มชาติพันธุ์ ทำให้เกิดการอพยพขนานใหญ่ และแม้เจิ้งกับคนอื่น ๆ จะหนีออกมาได้ แต่ก็ถูกจับและถูกกลุ่มติดอาวุธที่ไม่รู้ว่าเป็นพวกไหนปล้น และบังคับให้นอนในเล้าหมู
แม้จะถูกปล้นเอาเงินไปหมดแต่ยังโชคดีที่ได้พาสปอร์ตคืน ทำให้เขาติดต่อกับองค์กรต่าง ๆ ในมาเลเซีย และจัดการช่วยเหลือเขา ซึ่งพบว่าเขาเป็นหนึ่งในชาวมาเลเซีย 121 คน ที่ตกเป็นเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และเขาได้กลับไปบ้านแล้วตั้งแต่วันศุกร์