Wall Street Journal (WSJ) รายงานว่า จีนห้ามเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางใช้โทรศัพท์มือถือ iPhones และอุปกรณ์สื่อสารจากต่างประเทศในระหว่างการทำงาน ส่งผลให้หุ้นของ Apple Inc. ร่วงลงทันที 3.6% สู่ระดับ 182.91 ขณะปิดตลาดหุ้นนิวยอร์กเมื่อวันพุธ (6 กันยายน 2566) ที่ถือเป็นการร่วงลงรายวันครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 1 เดือน หลังจากปรับตัวขึ้นไปมากถึง 46% ตั้งแต่ต้นปี
รายงานซึ่งอ้างแหล่งข่าวที่ติดต่อเกี่ยวข้องกับหน่วยงานรัฐบาลกลางเป็นประจำ บอกว่าบรรดาผู้บริหารได้แจ้งเรื่องนี้ต่อผู้บังคับบัญชาผ่านการประชุมหรือกลุ่มแชต และเจ้าหน้าที่จีนได้ปฏิบัติตาม "กฎการหลีกเลี่ยง iPhone" ที่ไม่ได้ออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร มาตั้งแต่ก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 แม้ว่าจะไม่มีนโยบายที่เป็นทางการก็ตาม
แหล่งข่าวบอกด้วยว่า เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางมีแนวโน้มจะใช้สมาร์ตโฟน ที่ผลิตโดยบริษัทรายใหญ่ในประเทศ โดยเฉพาะ Huawei ซึ่ง CNN รายงานเมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2565 ว่า กระทรวงต่าง ๆ ของจีน ได้ห้ามรถยนต์ Teslas เข้าในไปพื้นที่ เนื่องวิตกด้านความปลอดภัย
ทิม คุก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ของ Apple ได้เดินทางไปเยือนจีนด้วยตัวเอง เมื่อเดือนมีนาคม เพราะจีนเป็นตลาดและศูนย์การผลิตที่สำคัญ ครองสัดส่วน 19% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัท
การสั่งห้ามใช้ iPhone สำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐ อาจเป็นการตอบโต้การเคลื่อนไหวในแบบเดียวกับที่สหรัฐฯ กระทำต่อเทคโนโลยีของจีน และอาจส่งผลกระทบอันน่าหวาดหวั่นให้ Apple และแบรนด์ต่างประเทศขนาดใหญ่อื่น ๆ ที่มีสถานะเป็นที่ยอมรับในจีน
ที่ผ่านมา Huawei กับ ZTE ต่างตกเป็นเป้าการถูกตั้งข้อจำกัดของสหรัฐฯ เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2565 รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้สั่งห้ามการอนุมัติอุปกรณ์โทรคมนาคมใหม่จากทั้งสองบริษัท เนื่องจากก่อให้เกิด "ความเสี่ยงที่ยอมรับไม่ได้" ต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ
แม้กระทั่ง TikTok ก็ยังถูกห้ามใช้ในอุปกรณ์ของสถาบันหลายแห่งของสหรัฐฯ รวมทั้งใสสภาผู้แทนราษฎร, สภานครนิวยอร์ก, มอนทานา, นิวเจอร์ซีย์, โอไฮโอ, เท็กซัส และจอร์เจีย อันเนื่องมาจากความกังวลว่า รัฐบาลจีนจะสามารถเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้ผ่านทาง Bytedance ซึ่งเป็นบริษัทแม่ในจีน