
เป็นเวลา 10 เดือน หลังจากห้องพิจารณาคดีในศาลอาญาชั้นต้น ในเมืองแมนเชสเตอร์ (Manchester crown court) เต็มไปด้วยบรรยากาศที่อึมครึม การโต้แย้ง การกล่าวหาและการคาดเดาไม่รู้จบ ในขณะที่นักกฎหมายพยายามหาคำตอบว่าเหตุใดทารก 7 คน ในหออภิบาลทารกแรกเกิด (neonatal units) จึงพากันทยอยเสียชีวิต ทั้ง ๆ ที่ควรจะเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับพวกเขา ก่อนที่ความจริงจะปรากฎออกมาช็อกคนทั้งประเทศว่า ฆาตกรตัวจริงก็คือ "พยาบาลที่ดูแลพวกเขานั่นเอง"
วันที่ 18 สิงหาคม คณะลูกขุน 11 คน ประกอบด้วยผู้ชาย 4 คน และผู้หญิง 7 คน ได้ใช้เวลาไตร่ตรองนานกว่า 100 ชั่วโมง ก่อนลงความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า "ลูซี เลตบี" (Lucy Letby) อดีตพยาบาลวัย 33 ปี มีความผิดข้อหาฆาตกรรมเด็ก 7 คน ซึ่งเป็นเด็กผู้ชาย 5 คน กับเด็กผู้หญิง 2 คน และข้อหาพยายามฆ่าอีก 6 คน ขณะทำงานอยู่ที่โรงพยาบาล Countess of Chester เมืองเชสเตอร์ มณฑลเชชเชอร์ ที่เลตบีทำงานในช่วงระหว่างปี 2558-2559 ทำให้เธอกลายเป็นเป็นฆาตกรฆ่าต่อเนื่อง ที่สังหารเด็กอย่างเลือดเย็นที่สุดในประวัติศาสตร์สหราชอาณาจักร
ปัจจุบันเลตบีเผชิญข้อหาถึง 22 ข้อหา ที่เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของเด็ก ๆ กับข้อหาพยายามฆ่าเด็กทารกอีกมากกว่า 10 คน ในระหว่างการพิจารณาคดีครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2565 เพื่อนร่วมงานพากันให้การถึงพฤติกรรมที่ผิดปกติของเลตบี ขณะที่ตำรวจกำลังขยายผลการสืบสวนไปที่การรับทารก 4,000 คน ของหออภิบาลทารกแรกเกิดที่โรงพยาบาล Countess of Chester กับ Liverpool Women's Hospital ในเมืองลิเวอร์พูล ที่เลตบีเคยทำงานช่วงระหว่างเดือนมกราคม ปี 2555 ถึงเดือนมิถุนายน ปี 2559 หลังเกิดข้อสงสัยว่าอาจมีทารกอีก 30 คน ที่ตกเป็นเป้าการสังหารของเลตบี แต่ไม่เสียชีวิต
ช่วง 18 เดือน (ระหว่างปี 2538-2539) ที่เลตบีทำงานอยู่ที่หออภิบาลทารก มีอัตราเด็กทารกเสียชีวิต หรือป่วยหนักเพิ่มขึ้นจนผิดสังเกต จากการที่เลตบีใช้สารพัดวิธี ทั้งการฉีดอากาศเข้าไปในเส้นเลือดและช่องท้องของเด็ก, ป้อนนมมากเกินไป จนถึงการฉีดอินซูลินจนเป็นอันตรายต่อเด็ก
สำนักงานอัยการสูงสุด (Crown Prosecution Service) หรือ CPS ระบุว่าเลตบีตั้งใจที่จะฆ่าเด็กทารกเหล่านั้น ทั้งยังหลอกให้เพื่อนร่วมงานเชื่อว่า เด็ก ๆ มีสาเหตุการตายตามธรรมชาติ โดยทำให้สารที่ไม่เป็นอันตราย เช่น น้ำนม อากาศ ของเหลว หรือแม้แต่ยาอย่างอินซูลิน กลายเป็นสิ่งที่เป็นอันตรายถึงชีวิตเมื่ออยู่ในมือของเธอ ตำรวจยังพบบันทึกที่เขียนด้วยลายมือของเธอในบ้านพักว่า
"ฉันไม่สมควรมีชีวิตอยู่ ฉันฆ่าพวกเขาโดยเจตนา เพราะฉันไม่เก่งพอที่จะดูแลพวกเขา"
"ฉันเป็นปีศาจ ฉันชั่วร้ายที่ทำแบบนี้"
โทษที่รอเลตบีอยู่คือ การใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในเรือนจำตามรอยผู้หญิงอีก 2 คน ที่กำลังรับโทษจำคุกตลอดชีวิตอยู่เช่นกัน
พวก ส.ส.กับพ่อแม่ของทารกเสียชีวิตเพราะน้ำมือของเลตบี ได้เรียกร้องให้ "ปรับแก้" กฎหมายแบบ "fast-tracked" เพื่อให้เธอรับผลของการกระทำ ขัดขวางไม่ให้ผู้กระทำผิดที่ "ขี้ขลาด" มีโอกาส "หลบหน้า" ครอบครัวของเหยื่อในศาล เนื่องจากคาดว่าเลตบีจะไม่ยอมไปฟังคำตัดสินลงโทษในศาล ซึ่งหมายความว่าเธอยังสามารถหลีกเลี่ยงการรับฟังถ้อยแถลงของพ่อแม่ของเหยื่อ ที่ระบุว่าเธอทำลายชีวิตพวกเขาไปอย่างไร พ่อของทารกคนหนึ่งบอกว่า "การยอมให้เธอไม่ไปขึ้นศาล ถือเป็นการ 'ตบหน้า' เหยื่อ"
มีรายงานว่า เลตบีจะได้รับการคุ้มครองจากทั้งตัวเธอเองและจากนักโทษคนอื่น โดยนักโทษทุกคนที่มีความผิดในคดีฆาตกรรม จะถูกจับตาเพื่อป้องกัน "การฆ่าตัวตาย" โดยอัตโนมัติ ด้วยเหตุผลพื้นฐานว่านักโทษที่ต้องโทษหลายสิบปี อาจพยายามฆ่าตัวตาย ซึ่งการเฝ้าระวังมีหลายรูปแบบ ตั้งแต่กล้องวงจรปิดไปจนถึงการควบคุมโดยตรง โดยพัสดีเรือนจำโดยเฉพาะ ตลอดจนการตรวจสอบทุกๆ 5, 10 หรือ 15 นาที ซึ่งวิธีที่พบบ่อยที่สุดและเร็วที่สุดในการยุติเรื่องราวทั้งหมดที่พวกนักโทษใช้ในการฆ่าตัวตายคือ การแขวนคอ...
ในกรณีของเลตบี กลายเป็นภาระของพัสดีเรือนจำ ถ้าเผลอปล่อยให้เธอฆ่าตัวตายได้สำเร็จ เนื่องจากความของเธอมันช็อกคนทั้งประเทศ เพราะเหยื่อของเธอเป็นทารกที่ไร้เดียงสา ทุกคนล้วนต้องการให้เธอรับโทษอย่างสาสมต่อความผิดที่เธอก่อ
การกระทำของเลตบียังส่งผลไปถึง "เอลิสัน เคลลี" (Alison Kelly) ผู้อำนวยการฝ่ายการพยาบาลที่ Northern Care Alliance NHS Trust ได้ถูกสั่งพักงาน หลังถูกกล่าวหาในศาลในคดีของเลตบีว่า เธอเพิกเฉยต่อเสียงเตือนของแพทย์หลายคน ในขณะที่ยังเป็นผู้อำนวยการฝ่ายการพยาบาลและคุณภาพที่ Countess of Chester Hospital ในช่วงที่เลตบีทำงานอยู่ และเกิดความไม่ชอบมาพากลขึ้นที่หออภิบาลทารก และนักการเมืองหลายคนได้เรียกร้องให้คณะรัฐมนตรีตรวจสอบ "ตำแหน่ง" ของเธอว่า มีคุณสมบัติที่เหมาะสมหรือไม่
ยังมีเรื่องดราม่าเกี่ยวกับ ดร.จอห์น กิ๊บส์ ที่ปรึกษาอาวุโส ที่พยายามเปิดโปงเลตบี แต่เขากลับเป็นฝ่ายช็อกเมื่อผู้บริหารโรงพยาบาลตอนนั้น คือ โทนี แชมเบอร์ส ( Tony Chambers) ได้เรียกประชุมกุมารแพทย์ 7 คน ตลอดจนผู้บริหาร ที่รวมทั้งผู้อำนวยการฝ่ายการพยาบาลและผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ เมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2560 และสรุปว่า "เลตบีไม่ได้ทำอะไรผิด" ทั้งยังสั่งให้กุมารแพทย์เขียนจดหมายขอโทษเลตบีด้วย
ดร.กิ๊บส์ บอกด้วยว่าเขารู้สึกว่าถูกข่มขู่จากแชมเบอร์ส ที่พูดในที่ประชุมว่าเขาล้ำเส้นในประเด็นนี้ ขณะที่ ดร.สตีเฟน เบรียรีย์ (Dr Stephen Brearey) ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานของ ดร.กิ๊บส์ เปิดเผยต่อ BBC ว่า พวกกุมารแพทย์ได้รับคำเตือนว่า จะเจอ "ผลลัพธ์ที่ตามมา" ถ้าไม่ยอมเขียนจดหมายขอโทษเลตบี ส่งผลให้ ดร.กิ๊บส์ ลาออกตั้งแต่ตอนนั้น