โลกสภา หรือ สภาล่างของอินเดีย รับญัตติการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีที่ยื่นโดยพรรคฝ่ายค้านในวันพุธ (26 กรกฎาคม 2566) และโอม เบอร์ลา ประธานสภาฯ จะตัดสินใจกำหนดวันอภิปรายและวันลงมติในภายหลัง
แต่พรรคภารติยะ ชนตะ (BJP) ของนายกรัฐมนตรี เนรนทรา โมดี ครองเสียงข้างมากถึง 301 ที่นั่งจากทั้งหมด 542 ที่นั่ง และหากรวมกับเสียงจากพันธมิตร ก็เพิ่มเป็น 332 ที่นั่ง ทำให้การลงมติไม่ไว้วางใจครั้งนี้ไม่อาจสั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาลได้
ขณะที่พรรคฝ่ายค้านมีจุดประสงค์ในการยื่นญัตติต่อโมดี ผู้นำของพรรคที่มีแนวคิดชาตินิยมฮินดู เพื่อให้เกิดการอภิปรายเกี่ยวกับความรุนแรงจากความขัดแย้งระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ในรัฐมณีปุระ ที่เป็นรัฐห่างไกลในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และอยู่ภายใต้การควบคุมของพรรค BJP จนถึงขณะนี้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 130 ราย และประชาชนพลัดถิ่นฐานอีกราว 60,000 คน นับตั้งแต่เกิดการปะทะรุนแรงระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์เมเต ที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ และกลุ่มชาติพันธุ์คูคิเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2566
ส.ส. ฝ่ายค้าน เผยว่า ในประวัติศาสตร์รัฐสภาของอินเดีย การอภิปราย การเจรจา และการหารือมักถูกนำมาใช้เพื่อให้มีการพูดคุยในประเด็นสำคัญ และบังคับให้นายกรัฐมนตรีเข้าสภาเพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ ที่หยิบยกขึ้นมาโดยประชาชนและสมาชิกสภา โดยไม่คำนึงว่า ผลจะออกมาเป็นอย่างไร แต่โมดีเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องให้มาชี้แจงในสภา ทั้งที่รัฐมณีปุระกำลังลุกเป็นไฟ
ความตึงเครียดระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ในรัฐเล็ก ๆ ที่มีประชากร 3.2 ล้านคน เป็นความล้มเหลวทั้งด้านความมั่นคงและการเมืองของรัฐบาลโมดี ที่กำลังจะเผชิญการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนพฤษภาคม 2567
นายกรัฐมนตรีโมดีไม่เคยแสดงความเห็นต่อสาธารณะเกี่ยวกับความรุนแรงในรัฐนี้ จนกระทั่งในสัปดาห์ที่แล้ว ที่มีคลิปแพร่สะพัดเผยให้เห็นผู้หญิงสองคนถูกแห่ไปตามถนนในสภาพเปลือยกายและถูกรุมข่มขืนในรัฐมณีปุระ จุดชนวนความโกรธแค้นไปทั่วประเทศ และการประท้วงในบางเมือง โดยเขาประณามเหตุการณ์รุมโทรมครั้งนั้นว่าเป็นเรื่องอัปยศ และสัญญาลงโทษสถานหนักต่อผู้ก่อเหตุ
และพรรคฝ่ายค้านต้องการให้นายโมดี ในฐานะผู้นำรัฐบาลเข้าตอบคำถามในการอภิปรายไม่ไว้วางใจก่อนการลงมติ ขณะที่รัฐบาลเสนอชี้แจงด้วยแถลงการณ์จากอามิต ชาห์ รัฐมนตรีมหาดไทย โดยระบุว่า ความมั่นคงภายเป็นความรับผิดชอบของกระทรวง
เหตุรุนแรงในมณีปุระเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม หลังจากศาลมีคำสั่งฝ่ายบริหารของรัฐขยายสิทธิประโยชน์พิเศษด้านเศรษฐกิจและโควตาทั้งในเรื่องตำแหน่งงานในภาครัฐและการศึกษา ให้กับกลุ่มชาติพันธุ์เมเต ที่เป็นชาวฮินดูด้วย จากเดิมสงวนสิทธิไว้เฉพาะสำหรับกลุ่มชาติพันธุ์ คูคิ ที่ส่วนใหญ่เป็นชาวคริสต์ เท่านั้น