
มณฑลกวางตุ้ง แหล่งผลิตสินค้าชื่อดังของจีน ที่อยู่ใกล้กับฮ่องกง เคยระบุว่า จะช่วยเด็กเพิ่งเรียนจบ และผู้ประกอบการวัยหนุ่มสาว ให้ไปหางานทำตามหมู่บ้าน และยังกระตุ้นคนหนุ่มสาวที่มาจากชนบท ให้กลับบ้านของตัวเองเสีย ไปหางานทำที่นั่น
ถ้อยแถลงนี้มีขึ้น หลังประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ของจีน เรียกร้องเมื่อเดือนธันวาคม ปีที่แล้ว ( 2022 ) ให้เด็กหนุ่มสาวในตัวเมือง ไปหางานทำแถบชนบท เพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจในพื้นที่นั้น ตอกย้ำนโยบายของประธานเหมาเจ๋อตง เมื่อหลายสิบปีก่อน ที่ต้องการให้คนหนุ่มสาวในตัวเมืองหลายสิบล้านคน ถูกเนรเทศไปอยู่ในพื้นที่ห่างไกลของประเทศจีน
แผนการของมณฑลกวางตุ้ง ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากมายในสื่อสังคมออนไลน์ ประจวบเหมาะกับอัตราการว่างงานในตัวเมืองของคนหนุ่มสาวอายุ 16 ถึง 24 ปี พุ่งขึ้นแตะ 19.6% พอดี ถือว่า สูงสุดเป็นอันดับสองเท่าที่เคยบันทึกไว้ เท่ากับว่า มีคนหนุ่มสาวว่างงานสูงถึง 11 ล้านคน ตามเมืองใหญ่ของจีน
อัตราการว่างงานในกลุ่มหนุ่มสาวชาวจีน อาจเพิ่มขึ้นอีก เพราะมีนักศึกษา 11.6 ล้านคน ที่จะจบการศึกษาในปีนี้ ( 2023 ) ซึ่งก็จะต้องออกมาหางานทำ ในตลาดงานที่เต็มไปด้วยผู้คนแย่งกันหางานอยู่แล้วในขณะนี้
นักวิเคราะห์มองว่า การส่งคนหนุ่มสาวไปหางานทำที่ชนบท อาจช่วยลดความเสี่ยงที่คนกลุ่มนี้จะออกมาก่อหวอดประท้วงแสดงความไม่พอใจการบริหารงานของรัฐบาล อีกทั้งยังช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้ระหว่างตัวเมืองกับชนบท พื้นที่ที่ยากจนของประเทศ
อัตราการว่างงานพุ่งในหมู่คนหนุ่มสาว เป็นผลจากเศรษฐกิจจีนชะลอตัว ในช่วงสามปีที่ผ่านมา ที่รัฐบาลจีนใช้นโยบายกำราบโควิด ส่งผลให้ภาคการใช้จ่ายของผู้บริโภคได้รับผลกระทบ และยังลามไปถึงธุรกิจเล็กๆ อีกด้วย กฎหมายควบคุมธุรกิจอินเตอร์เน็ต ตลอดจนบริษัทอสังหาริมทรัพย์และบริษัทเพื่อการศึกษา ยังทำให้ภาคเอกชนเดือดร้อน ทั้งที่เป็นภาคส่วนที่สร้างงานมากกว่า 80% ในจีน
สิ่งหนึ่งที่คนหนุ่มสาวชาวจีนคับข้องใจในเวลานี้ ก็คือ พวกเขาสงสัยว่า เรียนไปทำไมเยอะแยะ ในเมื่อเรียนจบ ก็ต้องมาทำงานใช้แรงงานอย่างที่ภาครัฐเสนอมาอยู่ดี แต่สื่อของรัฐบาลจีน ก็พยายามหันเหความผิดไปที่พวกเขา โดยออกบทความมาเป็นชุด วิจารณ์คนหนุ่มสาวว่า เลือกงานมากเกินไป และให้พวกเขาละทิ้งความภาคภูมิใจกับใบปริญญาไว้ข้างหลัง และลงมือทำงานที่ต้องใช้แรงงานในชนบท แต่ทั้งหมดกลับทำให้กลุ่มคนว่างงานยิ่งเดือดมากขึ้น พวกเขาตำหนิภาครัฐผ่านสื่อออนไลน์ที่ไม่เตรียมงานให้มากพอ ขณะที่นักวิเคราะห์มองว่า ประเด็นนี้ อาจจุดชนวนให้เกิดความไม่สงบในสังคมขึ้นมาได้