กระทรวงกลาโหมของตุรกี ยืนยันว่า เครื่องบิน ซี-130 ของตุรกี ถูกยิงขณะกำลังจะลงจอดที่ฐานทัพอากาศนอกกรุงคาร์ทูมของซูดานในเช้าวันศุกร์ (28 เม.ย.) มีรอยกระสุนจากปืนขนาดเล็ก แต่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ และลงจอดได้อย่างปลอดภัย โดยต้องได้รับการซ่อมแซม
ขณะที่กองทัพอากาศของซูดาน กล่าวหาว่า กองกำลัง RSF ยิงเครื่องบินลำนี้ และทำให้ระบบเชื้อเพลิงได้รับความเสียหาย แต่ RSF ปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยบอกว่า ไม่ได้ควบคุมพื้นที่ดังกล่าว และยืนยันว่า เคารพข้อตกลงหยุดยิงที่ขยายเวลาอีก 72 ชม.
กองทัพและ RSF ตกลงขยายเวลาหยุดยิงอีก 3 วัน เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่ข้อตกลงหยุดยิง 72 ชม. ซึ่งมีผลตั้งแต่วันอังคารกำหนดสิ้นสุดในคืนวันพฤหัสบดี แต่ข้อตกลงดังกล่าวไม่มีการปฏิบัติอย่างจริงจัง เครื่องบินกองทัพยังโจมตีทางอากาศทำลายฐานที่มั่นของ RSF ในกรุงคาร์ทูมในคืนวันพฤหัสบดี
และในวันศุกร์ยังคงมีรายงานการต่อสู้ในกรุงคาร์ทูม ทำให้มีกลุ่มควันดำปกคลุมเห็นได้ในระยะไกล ชาวบ้าน บอกว่า มีเสียงปืนดังสนั่นใกล้ทำเนียบประธานาธิบดี
ขณะที่การสู้รบยาวนาน 2 สัปดาห์ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 15 เม.ย. ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 512 ราย และผู้บาดเจ็บอีกราว 4,200 ราย และสหประชาชาติเตือนว่า การสู้รบในขณะนี้จุดชนวนให้เกิดการปะทะระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ในแคว้นดาร์ฟูร์ทางภาคตะวันตก ทำให้มีผู้เสียชีวิตราว 96 รายนับตั้งแต่วันที่ 24 เม.ย.
ส่วนสถานการณ์อพยพพลเมืองต่างชาติยังคงเดินหน้าต่อไป โดยทางการตุรกี ยืนยันเมื่อวันพฤหัสบดีว่า จะยังคงช่วยเหลือพลเมืองออกจากฐานทัพอากาศนอกกรุงคาร์ทูม และเมืองพอร์ตซูดาน และส่งเครื่องบินทหาร 5 ลำไปอพยพพลเมืองที่เหลืออยู่ทั้งหมด
ขณะที่สหรัฐฯ เตือนเมื่อวันพฤหัสบดีก่อนการขยายเวลาหยุดยิงว่า สถานการณ์อาจเลวร้ายได้ทุกเมื่อ และแนะนำให้ชาวอเมริกันอพยพออกจากซูดานภายใน 24-48 ชม. และอังกฤษเตือนให้พลเมืองอพยพออกจากซูดานโดยเร็วด้วยเช่นกัน
ซาอุดิอาระเบีย เปิดเผยว่า สามารถช่วยอพยพประชาชนกว่า 2,700 คนจาก 76 ประเทศออกจากซูดานถึงซาอุดิอาระเบียในช่วงหลายวันที่ผ่านมา