คนขับรถจี๊ปนีย์ราว 100,000 คนของสหภาพแรงงานพิสตัน และสหภาพแรงงานมานิเบลา เริ่มผละงานประท้วงเมื่อวันที่ 6 มี.ค. ที่มีกำหนดสิ้นสุดในวันที่ 12 มี.ค. เพื่อคัดค้านแผนของรัฐบาลที่จะทยอยกำจัดรถจี๊ปนีย์รุ่นเก่าที่ก่อมลพิษออกจากถนน และการสไตรก์ทำให้โรงเรียนในกรุงมะนิลา และอีกหลายพื้นที่ต้องปรับเปลี่ยนเป็นการเรียนการสอนออนไลน์ และหลายธุรกิจให้พนักงานทำงานที่บ้าน
สหภาพพิสตัน ประกาศว่า เส้นทางวิ่งรถจี๊ปนีย์ 90% ทั่วกรุงมะนิลาหยุดวิ่งเพื่อร่วมการประท้วง และมีการหยุดวิ่งในเมืองอื่น ๆ ทั่วประเทศเช่นกัน
และหลังจากผู้แทนสหภาพแรงงานทั้งสองแห่งได้เข้าพบหารือกับประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ที่ทำเนียบเมื่อคืนวันอังคาร ประธานสหภาพแรงงานมานิเบลา เปิดเผยว่า รัฐบาลพร้อมศึกษาและทบทวนแผนปฏิรูปโดยคำนึงถึงผู้ขับขี่และผู้ประกอบการ
แผนปฏิรูปที่ประกาศเมื่อปี 2560 กำหนดจะเปลี่ยนรถจี๊ปนีย์ที่ใช้น้ำมันดีเซล และมีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไปด้วยรถมินิบัสรุ่นใหม่ที่ใช้พลังงานสะอาดกว่า และรวมผู้ประกอบการและผู้ขับขี่เข้าสู่ระบบสหกรณ์
เดิมคณะกรรมการกำกับดูแลระบบขนส่งทางบก ประกาศว่า วันที่ 1 เม.ย. จะเป็นวันสุดท้ายที่รถจี๊ปนีย์รุ่นเก่าจะวิ่งให้บริการ แต่หลังจากมีเสียงคัดค้าน จึงยอมเลื่อนกำหนดการจนถึงวันที่ 31 ธ.ค. ส่วนรถจี๊ปนีย์ที่ไม่มีการปรับเปลี่ยนตามแผนปฏิรูปจะถูกห้ามวิ่งบนถนน
รถจี๊ปนีย์เกิดขึ้นช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยผู้ประกอบการชาวฟิลิปปินส์นำรถจี๊ปเก่าที่กองทัพสหรัฐฯ ทิ้งไว้ มาดัดแปลงเป็นมินิบัสเพื่อขนส่งผู้โดยสารได้ครั้งละ 25 คน และกลายเป็นรถสาธารณะที่มีค่าโดยสารถูกที่สุดและได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศ รวมทั้งได้ฉายาว่า “ราชาแห่งท้องถนน”
ปัจจุบันมีรถจี๊ปนีย์แบบเก่าราว 158,000 คันทั่วประเทศ และรถจี๊ปนีย์รุ่นใหม่อีก 5,300 คันที่มีการติดเครื่องปรับอากาศ และกล้องวงจรปิด
แต่การปรับเปลี่ยนรถจี๊ปนีย์รุ่นใหม่อาจทำให้ผู้ขับขี่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายสูงถึง 2.8 ล้านเปโซ หรือ 1.75 ล้านบาท และผู้ประกอบการต้องมีรถยนต์อย่างน้อย 15 คันจึงจะตั้งเป็นสหกรณ์ได้ แต่รัฐบาลให้เงินอุดหนุนเพียง 5.7% สำหรับรถรุ่นใหม่ และมีความกังวลว่า รถจี๊ปนีย์รุ่นใหม่ที่แพงขึ้น อาจทำให้ผู้ขับขี่ต้องปรับขึ้นค่าโดยสาร
ผลการศึกษาหนึ่งประเมินว่า ค่าโดยสารรถจี๊ปนีย์ขั้นต่ำอาจปรับสูงขึ้น 300% ตามแผนการปฏิรูป และจะส่งผลกระทบตามมาทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น