
29 กันยายน 2565 นายไพรวัลย์ วรรณบุตร หรือ แพรรี่ ไพรวัลย์ พร้อมด้วยทนายเกิดผล เเก้วเกิด เดินทางไปร้องเรียนสภาทนายความกรณีถูกนายธรรมราช สาระปัญญา กล่าวพาดพิงเหยียดเพศสภาพของนายไพรวัลย์ เเละกรณีการเจ็บป่วยของนายเกิดผล จากกรณีที่ นายไพรวัลย์ ได้มีวิวาทะกับ พระชาตรี เหมพันธ์ เจ้าอาวาสวัดพุทธวิหาร นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซีย โดยมีนายวิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ นายสุนทร พยัคฆ์ เลขาธิการสภาทนายความ นายสุชาติ ชมกุล อุปนายกฝ่ายกิจการพิเศษ สภาทนายความ รับเรื่องร้องเรียน
นายไพรวัลย์ กล่าวว่า ประเด็นที่มาร้องสภาทนายความในวันนี้ มาจากเรื่องที่เป็นวิวาทะในสังคม ซึ่งตนกับพระสงฆ์รูปหนึ่งซึ่งก็นึกว่าจบไปแล้ว ก็ได้มีข้อยุติว่าเลิกแล้วต่อกันและยุติการตอบโต้ แต่มีทนายความคนดังกล่าวออกมาให้ความเห็น รวมถึงการไลฟ์สดพาดพิงตน ซึ่งแม้ไม่ได้มีการเอ่ยชื่อ แต่คนก็เข้าใจได้ว่าเป็นตน มองว่าเป็นการไม่เหมาะสมและเป็นการกระทำผิดมรรยาททนายความ จึงต้องใช้สิทธิ์มายื่นร้องเรียน เนื่องจากไม่ได้รับความเป็นธรรม นอกจากเรื่องมรรยาทแล้ว ตนเตรียมจะดำเนินคดีอาญากับทนายความคนนี้ด้วย
“อันหนึ่งที่รับไม่ได้เลย คือ การเหยียดเพศสภาพ เพราะไม่ว่าเป็นทนายความหรือบุคคลใดก็ตาม ไม่ควรพูดเหยียดในเรื่องเพศสภาพเพราะมันกระทบถึงศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ ทุกคนต้องเคารพกันในเมื่อเราอยู่ร่วมสังคมเดียวกัน ไม่ควรเหยียดหยามล้อเลียนทำให้ผู้อื่นรู้สึกเสื่อมเสียเกียรติ” นายไพรวัลย์กล่าว
ด้าน ทนายเกิดผล กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ตนได้แสดงความเห็นทางกฎหมายเกี่ยวกับเรื่อง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ทนายความคนดังกล่าว ซึ่งมีความเห็นทางกฎหมายไม่ตรงกันถือเป็นเรื่องปกติเเละเป็นเรื่องที่ดี แต่กลับโดนนำเรื่องสุขภาพจากที่ตนป่วยเป็นโรคไตเสื่อมระยะสุดท้ายมาพูดพาดพิงให้ได้รับความเสียหาย พูดเป็นเรื่องสนุกและไม่รู้สึกสำนึก จึงตัดสินใจมาร้องเรียนกับสภาทนายความ เพื่อให้พิจารณาว่ากรณีการนำเรื่องความเจ็บป่วยดังกล่าวมาพาดพิง เป็นการกระทำผิดมรรยาททนายความและเหมาะสมหรือไม่
ขณะที่ นายวิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ กล่าวว่า ได้รับการติดต่อจากนายไพรวัลย์ และนายเกิดผล ถึงประเด็นการร้องเรียนถึงมรรยาททนายความดังกล่าว ซึ่งสภาทนายความยินดีที่จะรับทุกเรื่องที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่สภาทนายความ เพราะสภาทนายความ มีหน้าที่อำนวยความยุติธรรมให้ทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายกล่าวหา หรือถูกกล่าวหา โดยเราจะพิจารณาโดยยึดหลักของกฎหมาย เรื่องนี้เราจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพราะเป็นเรื่องที่สังคมจับตามองอยู่ ยืนยันว่า จะยึดมั่นความถูกต้องบนพื้นฐานของหลักกฎหมายเป็นสำคัญ
สำหรับเรื่องมรรยาทที่มีการร้องเข้ามาในวันนี้ แล้วเราจะพิจารณาอย่างไรนั้น ขณะนี้ยังไม่สามารถตอบได้ เพราะวันนี้เราพึ่งได้รับเป็นคดีมรรยาท ตามขั้นตอนจะต้องมีการสอบสวนก่อน เพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงและพิจารณาว่าผิดหรือไม่ ซึ่งหากพิจารณาแล้วผิดมีขั้นตอนใดมีโทษสถานใด ตรงนี้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการสอบสวน และคณะกรรมการมรรยาทจะเป็นผู้พิจารณา
ส่วนเรื่องการลงโทษ หากเมื่อสอบสวนแล้วได้ข้อยุติว่าทนายความคนใดที่ถูกกล่าวหา กระทำผิดว่าด้วยข้อบังคับของสภาทนายความว่าด้วยเรื่องมรรยาท ข้อใด จะมีบทลงโทษดังต่อไปนี้ คือ
1.ว่ากล่าวตักเตือน
2. ภาคทัณฑ์
3.พักใบอนุญาตสูงสุดไม่เกิน 3 ปี
4. ลบชื่อออกจากสารระบบทนายความ ตามพรบ.ทนายความปี 2528
สำหรับขั้นตอนหลังจากรับเรื่องร้องเรียนแล้ว หน้าที่ของตนและกรรมการสภาทนายความ ไม่ได้มีหน้าที่เข้าไปทำการสอบสวนเนื่องจากเป็นฝ่ายบริหาร ซึ่งต้องแยกออกจากคณะกรรมการมรรยาททนายความ โดยเรื่องนี้ทางฝ่ายบริหารจะส่งเรื่องดังกล่าวให้คณะกรรมการมรรยาททนายความจะเป็นผู้ดำเนินการ ตั้งกรรมการสอบสวนขึ้นมาพิจารณา หลังจากคณะกรรมการสอบสวนมีการพิจารณาแล้ว ก็จะส่งเรื่องกลับมายังกรรมการมรรยาททนายความ พิจารณาเห็นชอบ ข้อเท็จจริงอีกครั้งว่า เรื่องดังกล่าวสมควรจะลงโทษหรือไม่ มีความเหมาะสมหรือไม่ เสนอมายังกรรมการบริหารสภาทนายความกลั่นกรองเป็นขั้นตอนสุดท้าย
เมื่อถามถึงกรณีที่มีทนายความ ออกมาให้ความเห็นผ่านทางโซเชียล จนเป็นประเด็นในสังคมนั้น สภาทนายความ มองเรื่องนี้อย่างไร นายวิเชียร กล่าวว่า ทนายความสามารถให้ความเห็นทางกฎหมายได้ แต่การให้ความเห็นต้องอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้อง อะไรก็ตามที่หมิ่นเหม่ หรือผิดข้อบังคับสภาทนายความ ต้องรับผิดชอบ ถ้าพูดในเรื่องที่ไม่สร้างสรรค์และเข้าข่ายผิดมรรยาททนายความ