
นิคมอุตสาหกรรม คือเขตพื้นที่ดิน ซึ่งจัดสรรไว้สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมเข้าไปอยู่รวมกันอย่างเป็นสัดส่วน ประกอบด้วย พื้นที่อุตสาหกรรม สิ่งอำนวยความสะดวก สาธารณูปโภค และสาธารณูปการ เช่น ถนน ท่อระบายน้ำ โรงกำจัดน้ำเสียส่วนกลาง ระบบป้องกันน้ำท่วม ไฟฟ้า น้ำประปา โทรศัพท์ นอกจากนั้นยังประกอบด้วย บริการอื่นที่จำเป็น
พื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
Nation story ได้สำรวจข้อมูลของ 3 บริษัทนิคมอุตสาหกรรมรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ประกอบด้วย บมจ. ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA), บมจ. อมตะ คอร์ปอเรชัน (AMATA) และบมจ.สวนอุตสาหกรรมโรจนะ (ROJNA) น่าสนใจไม่น้อย หลังนักลงทุนต่างชาติเริ่มย้ายฐานการผลิตเข้ามาไทยจากปัญหาความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ทำให้ยอดขาย-การเช่าที่ดินในนิคมเริ่มปรับตัวดีขึ้น
โดยแต่ละบริษัทมีผลประกอบการไตรมาส 1/67 เด่นมากน้อยแค่ไหน และนอกจากขาย-เช่าที่ดินแล้ว บริษัทธุรกิจอะไรเพิ่มอีกบ้าง ตามไปดูกันเลย
เริ่มจาก บมจ. ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA)
- มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด 82,207.59 ล้านบาท
- นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ดำรงตำแหน่งประธานการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท WHA
- ผู้ถือหุ้นอันดับ 1 น.ส. จรีพร จารุกรสกุลถือหุ้น 3,481,188,569 หุ้น สัดส่วน 23.29%
- P/E (Price to Earnings Ratio) 15.61 เท่า
- อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน 3.34%
- ราคาหุ้นตั้งแต่ม.ค.-ปัจจุบันเคลื่อนไหวสูงสุด 5.65 บาท ต่ำสุด 4.50 บาท เพิ่มขึ้น 3.77%
- รายได้รวมไตรมาส 1/67 อยู่ที่ 3,929.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61% มาจากธุรกิจที่ดิน ธุรกิจสาธารณูปโภค ธุรกิจไฟฟ้า และธุรกิจการให้เช่าและบริการ
-กำไรสุทธิไตรมาส 1/67 อยู่ที่ 1,364.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 161.1% (YOY)
ธุรกิจโลจิสติกส์ มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 1/67 มีการลงนามสัญญาเช่าโครงการ Built-to-Suit และโรงงาน คลังสินค้าเพิ่ม รวม 29,623 ตร.ม. และมีสัญญาเช่าระยะสั้น ที่ให้ผลตอบแทนสูง จำนวน 33,455 ตร.ม. ทำให้บริษัทฯ มีพื้นที่คลังสินค้าภายใต้การถือครองและบริหารรวม 2,960,056 ตร.ม.
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการนำยานยนต์ไฟฟ้ามาใช้ในภาคขนส่งของประเทศ ภายใต้การลงทุนในโครงการ Green Logistics ที่ให้บริการด้านยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร อาทิ การให้บริการรถขนส่ง ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์การติดตั้งระบบชาร์จสถานีชาร์จ พร้อมด้วย WHA Green Mobility Platform (W-GMP) แพลตฟอร์มที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการยานยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ให้กับลูกค้า
โดยล่าสุด บริษัทฯ ได้จัดตั้ง บริษัท โมบิลิกส์จำกัด (Mobilix) แบรนด์ให้บริการด้านยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าผู้ให้บริการด้าน โลจิสติกส์โดย ณ สิ้นไตรมาส 1/67 ประสบความสำเร็จมีลูกค้าเซ็นสัญญาเช่าซื้อยานยนต์ไฟฟ้าไปแล้วกว่า 176 คันและคาดว่าทั้งปีจะมีลูกค้าเข้ามาเซ็นสัญญาเพิ่มได้ถึง 1,000 คัน
ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ไตรมาส 1/67 บริษัทฯ มียอดการโอนที่ดินสูงขึ้นมากกว่าสองเท่าตัวจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นอานิสงส์จากการย้ายฐานการลงทุนและการผลิตมายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างต่อเนื่อง โดยมียอดขายที่ดินรวม 629 ไร่ (ไทย 575 ไร่ / เวียดนาม 55 ไร่) และยอดลงนาม MOU รวม 715 ไร่(ไทย 669 ไร่ / เวียดนาม 46 ไร่) ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาส 1/2567 บริษัทฯ มียอดขายที่รอการโอนกรรมสิทธิ์ให้กับลูกค้า(Backlog) สูงถึง 1,087 ไร่ (ไทย 1,052 ไร่ / เวียดนาม 34 ไร่)
ธุรกิจสาธารณูปโภค (น้ำ) โดยมีปริมาณยอดขายและ บริหารน้ำทั้งในประเทศและต่างประเทศรวม 40.3 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็นปริมาณการจำหน่ายน้ำภายในประเทศ จำนวน 32.2 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้นจากการเติบโตขึ้นของปริมาณยอดจำหน่ายนน้ำทุกผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะ ผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม และน้ำดิบที่มีความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้ากลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี
นอกจากนี้บริษัทฯ ได้ลงนามในสัญญาการให้บริการน้ำอุตสาหกรรมคุณภาพสูง (Premium Clarified Water) ปริมาณการผลิต 3.5 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ให้กับบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ตะวันออก (มาบตา พุด) ซึ่งคาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงเดือนกันยายนนี้
ธรุกิจไฟฟ้า บริษัทฯ มีส่วนแบ่งกำาไรปกติจากธุรกิจไฟฟ้าโดยรวมเพิ่มขึ้น จากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรของกลุ่ม โรงไฟฟ้า GHECO-One ที่เพิ่มขึ้นจากการหยุดซ่อมบำรุงลดลง ประกอบกับส่วนแบ่งกำไรจากกลุ่มโรงไฟฟ้า SPPs ที่ เพิ่มขึ้นจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ธุรกิจดิจิทัล มีแผนเดินหน้าโครงการ Green Logistics ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา WHA Green Mobility Platform (W-GMP) ที่รวมบริการ ต่างๆ สำหรับลูกค้ายานยนต์ไฟฟ้าภาคธุรกิจตั้งแต่การบริหารยานพาหนะ (Fleet Management) การวางแผนเส้นทาง (Route Optimization) ไปจนถึงการเชื่อมโยงโครงข่ายสถานี อัดประจุยานยนต์ไฟฟ้า (EV Roaming)
โดยบริษัทฯ คาดว่าจะสามารถเปิดตัวแพลตฟอร์ม W-GMP ได้ภายในไตรมาส 2/67 ด้วยแพลตฟอร์มดังกล่าว บริษัทฯ จึงถือเป็นผู้ ให้บริการยานยนต์ไฟฟ้ารายแรกที่ให้บริการแบบครบวงจรที่ครอบคลุมทั้งระบบนิเวศ (End-to-end process)
ถัดมาคือ บมจ. อมตะ คอร์ปอเรชัน (AMATA)
- มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด 27,370 ล้านบาท
- นายวิกรม กรมดิษฐ์ ดำรงตำแหน่ง ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (รักษาการ)
- ผู้ถือหุ้นอันดับ 1 นาย วิกรม กรมดิษฐ์ จำนวน 301,652,396 หุ้น สัดส่วน 26.23%
- P/E (Price to Earnings Ratio) 14.74 เท่า
- อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน 2.73%
- รายได้รวมไตรมาส 1/67 อยู่ที่ 2,820.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.46 % (YOY)
- กำไรสุทธิไตรมาส 1/67 อยู่ที่ 463.58 ล้านบาท ลดลง 5.77 % (YOY)
- ราคาหุ้นตั้งแต่ม.ค.-ปัจจุบันเคลื่อนไหวสูงสุด 26.75 บาท ต่ำสุด 20.70 บาท ลดลง 11.03 %
ธุรกิจพัฒนาที่ดินนิคมอุตสาหกรรม ในใตรมาสที่ 1/67 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 1,055 ล้านบาท ลดลง 130 ล้านบาทหรือ 10.97% จากงวดเดียวกันของปี 66 ถึงแม้จะมีการโอนที่ดินเพิ่มขึ้นจำนวน 23 ไร่ แต่เนื่องจากที่ดินส่วนใหญ่ที่โอนในไตรมาส 1/67 โดยหลักเป็นการโอนที่ดินจากนิคมอุดสาหกรรมในจังหวัดระยองและประเทศ เวียดนาม ซึ่งปัจจุบันมีราคาขายเฉลี่ยต่ำกว่าที่ดินจากนิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดชลบุรี จึงทำให้รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน
สำหรับรายละเอียดการโอนที่ดินในไตรมาส 1/67 มีการโอนที่ดินรวมทั้งสิ้น 151 ไร่ (ไทย 128 ไร่ และเวียดนาม 23 ไร่) ขณะที่ไตรมาส 1/66 มีการโอนที่ดินจำนวน 128 ไร่ (ไทย 128 ไร่) อัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 1/67 ปรับตัวลดลงอยู่ที่ 53.93% จากปีก่อนที่ธุรกิจให้บริการสาธารณูปโภค รายได้ค่าบริการสาธารณูปโภคของบริษัท
ส่วนไตรมาส 1/ 67 อยู่ที่จำนวน 1,423 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 667 ล้านบาท หรือ 88.23% จากงวดเดียวกันของปี 2566 โดยหลักมาจากการขายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าในนิคม อุดลาหกรรมของประเทศเวียดนามเพิ่มขึ้น แต่อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวลดลงจาก 25.40 % มาอยู่ที่ 17.08% เนื่องจากการขายไฟฟ้าดังกล่าวมีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำ จากการควบคุมราคาต้นทุนและราคาขายโดยรัฐบาลเวียดนาม
ธุรกิจโรงงานให้เช่าสำเร็จรูป บริษัทฯ มีรายได้จากการให้เช่าจำนวน 223 ล้านบาทในไตรมาส 1/67 เพิ่มขึ้น 24 ล้านบาท หรือ 12.06 % เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปี 66 เนื่องจากมีการให้เช่าเพิ่มขึ้น โดยอัตรากำไรขั้นตันของธุรกิจ
ปิดท้ายที่ บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) หรือ ROJNA
- มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด 13,133 ล้านบาท
- นาย จิระพงษ์ วินิชบุตร ดำรงตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ
- ผู้ถือหุ้นอันดับ 1 NIPPON STEEL TRADING CORPORATION จำนวน 418,960,446 หุ้น สัดส่วน 20.74%
- ผู้ถือหุ้นอันดับ 8 นาย จิระพงษ์ วินิชบุตร จำนวน 28,590,381 หุ้น สัดส่วน 1.42%
- P/E (Price to Earnings Ratio) 14.97 เท่า
- อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน 6.15%
- รายได้รวมไตรมาส 1/67 อยู่ที่ 3,772.07 ล้านบาทลดลง 28.62%
- กำไรสุทธิไตรมาส 1/67 อยู่ที่ 91.96 ล้านบาท ลดลง 52.81%
- ราคาหุ้นตั้งแต่ม.ค.-ปัจจุบันเคลื่อนไหวสูงสุด 8.05 บาท ต่ำสุด 5.65 บาท เพิ่มขึ้น 11.11%
สาเหตุที่รายได้บริษัทลดลงมาจาก
1. การขายอสังหาริมทรัพย์ ในปี 2566 มีลูกค้าเข้าทำสัญญาซื้อขายที่ดินเป็นจำนวนมาก แต่ในไตรมาสนี้ลูกค้ายังไม่ถึงกำหนดชำระเงินงวดสุดท้ายและโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน
2. รายได้จากการขายไฟฟ้า ลดลง เนื่องจาก มีลูกค้ารายใหญ่รายหนึ่ง ราคาขายอิงกับราคาค่าแก๊สที่ลดลง ทำให้ราคาขายต่อหน่วยลดลง
3. รายได้ค่าบริการและค่าเช่า เป็นรายได้จากการขายน้ำเพื่ออุตสาหกรรม, บริการบำบัดน้ำเสีย และค่าบริการส่วนกลาง
4. ต้นทุนขายอสังหาริมทรัพย์ ลดลงตามปริมาณพื้นที่ที่โอนที่ดินให้ลูกค้า
5. ต้นทุนขายไฟฟ้า ลดลงจากราคาค่าแก๊สที่ลดลง
6. ต้นทุนบริการและค่าเช่า เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและต้นทุนในการจัดจำหน่าย คิดเป็น 4.1% ของรายได้จากการประกอบธุรกิจ
7. ขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่าสินทรัพย์ทางการเงิน เป็นการจัดประเภทเงินลงทุนในหลักทรัพย์เผื่อขาย ซึ่งเป็นหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาด แสดงด้วยมูลค่ายุติธรรม ณ วันปิดรอบบัญชี
อย่างไรก็ตาม ROJNA ทำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในรูปนิคมอุตสาหกรรมและธุรกิจต่อเนื่อง เช่น ธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า ธุรกิจกิจผลิตน้ำเพื่ออุตสาหกรรม