ดีเดย์ธ.ค.นี้ ! บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เตรียมกดปุ่มสตาร์ทขายกองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน หรือ Thailand ESG Fund (TESG) ซึ่งเป็นกองทุนรวมที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติมจากกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (SSF)และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)
โดยภาครัฐหมายมั่นปั้นมือว่า กองทุนนี้จะทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นปีละ 1 หมื่นล้านบาท แม้ว่าการยกเว้นภาษีให้แก่ผู้ลงทุนในกองทุน TESG จะทำให้รัฐสูญรายได้จากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปีแรก 3,000 ล้านบาท และในปีต่อไปปีละ 10,000 ล้านบาท
แต่เมื่อคิดคำนวณผลลัพธ์แล้ว เชื่อว่าจะได้มากกว่าเสีย เพราะนอกจากเป็นการส่งเสริมการออมในระยะยาวแล้วยังเป็นการกระตุ้นให้บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หันมาดำเนินธุรกิจตามแนวทาง ESG มากขึ้น สอดรับเทรนด์ของโลก และยังทำให้ตลาดหุ้นไทยลุ้นกลับมาคึกคัก จากเม็ดเงินใหม่ที่เข้ามาหนุนตลาด และการลงทุนระยะยาวของนักลงทุนด้วย
โดยกองทุนน้องใหม่นี้จะมีแตกต่างจาก SSF-RMFอย่างไร ในวันนี้ “เนชั่นออนไลน์” ได้นำข้อมูลมาเปรียบเทียบให้ดูว่าแต่ละกองทุนมีจุดเด่นอะไรบ้าง ลดหย่อนภาษีได้เท่าไหร่ จะมีรายละเอียดอย่างไร ตามไปดูกันเลย
วัตถุประสงค์แต่ละกองทุนเป็นอย่างไร
กองทุน TESG : ส่งเสริมการออมระยะยาว ผ่านการลงทุนในธุรกิจที่มุ่งเน้นความยั่งยืน
กองทุน SSF: หนุนการออมระยะยาว
กองทุน RMF : ส่งเสริมการออมเพื่อการเกษียณ
สิทธิประโยชน์ทางภาษี
กองทุน TESG : ลดหย่อนภาษีได้ในอัตราไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 100,000 บาท ในปีที่ลงทุนเริ่มปี 66-75
กองทุน SSF : ลดหย่อนภาษีได้ในอัตราไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน และไม่เกิน 200,000 บาท และเมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท ในปี 63– 67 หลังจากนี้ต้องรอประกาศนโยบายของภาครัฐอีกครั้ง
กองทุน RMF : ลดหย่อนภาษีได้ในอัตราไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน และไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ ในปีที่ลงทุน (กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.), กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน, กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และประกันชีวิตแบบบำนาญ)
จำนวนเงินลงทุน
กองทุน TESG : ไม่มีขั้นต่ำ-ไม่ต้องลงทุนทุกปี
กองทุน SSF : ไม่มีขั้นต่ำ-ไม่ต้องลงทุนทุกปี
กองทุน RMF : ไม่มีขั้นต่ำ แต่ต้องลงทุนทุกปี เว้นได้ไม่เกิน 1 ปี
ระยะเวลาการถือครอง
กองทุน TESG : ถือหน่วยลงทุน 8 ปีนับจากวันที่ซื้อ
กองทุน SSF : ถือหน่วยลงทุน 10 ปีนับจากวันที่ซื้อ
กองทุน RMF: ต้องลงทุนอย่างน้อย 5 ปีต่อเนื่อง และต้องมีอายุครบ 55 ปี ถึงจะสามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้
เป้าหมายการลงทุน
กองทุน TESG : ลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ไทยที่เน้น ESG ( Environment Social Governance ) หุ้นไทยจะอิง SET ESG Ratings เป็นหลักจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ได้รับการคัดเลือกจำนวน 193 บริษัท แต่ ณ ปัจจุบัน TESG ยังไม่ระบุสัดส่วนการถือหุ้นและตราสารหนี้ขั้นต่ำที่กองทุนมีนโยบายลงทุน
กองทุน SSF : ลงทุนในสินทรัพย์ทุกประเภท ( ตามนโยบายของกองทุนนั้น ๆ และตามความเสี่ยงที่ตนเองรับได้ ) เช่น ตลาดเงิน ตราสารหนี้ หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ สินทรัพย์ทางเลือกอาทิ ทองคำ และอสังหาริมทรัพย์ หรือจะเลือกกองทุนผสม ที่มีนโยบาลการลงทุนในหลายประเภทสินทรัพย์ได้
กองทุน RMF : ลงทุนในสินทรัพย์ได้ทุกประเภท เช่น หุ้น ตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ ทั้งในหรือต่างประเทศก็ได้ ผู้ลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้ตามความสามารถในการรับความเสี่ยงของตัวเอง
แม้ TESG จะเป็นอีกทางเลือกในการลงทุน ที่มีโอกาสให้ทั้งผลตอบแทน และสิทธิประโยชน์ทางภาษี แต่ก็หนีไม่พ้นหลักการที่ว่า การลงทุนมีความเสี่ยง และผู้ลงทุนควรต้องศึกษาข้อดี ข้อเสีย และความเสี่ยงให้รอบด้าน รวมทั้งเลือกนโยบายการลงทุนที่เหมาะกับตัวเอง เพื่อให้กองทุนนี้ เป็นตัวช่วยในการสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืน สอดรับไปกับแนวทางของ ESG ได้อย่างแท้จริง...