
ใครที่อกหักพลาดสิทธิ์โครงการดิจิทัลวอลเล็ต รัฐบาลก็มีโครงการมาดามใจภายใต้ชื่อ E-Refund เพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
โดยประชาชนจะได้รับสิทธินำค่าใช้จ่ายจากการซื้อสินค้าและบริการ ไปเป็นค่าหักลดหย่อนคำนวณภาษี มูลค่าไม่เกิน 50,000 บาท จากร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษี และเฉพาะที่ออกใบกำกับภาษีในรูปแบบ electronics เท่านั้น ซึ่งจะเป็นการจูงใจให้ร้านค้าเข้าสู่ระบบภาษีดิจิทัลมากขึ้น และมุ่งไปสู่การเป็น e-Government ในอนาคตด้วย โดยจะกดปุ่มสตาร์ทโครงการ e -Refund ตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 เป็นต้นไป
โครงการ E-Refund คืออะไร?
ㆍ โครงการให้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับค่าซื้อสินค้าและบริการมูลค่าไม่เกิน 50,000 บาท สำหรับผู้ที่ไม่เข้าเกณฑ์รับเงินดิจิทัล 10,000 บาทจากรัฐบาล
ให้สิทธิประโยชน์อะไรบ้าง
ㆍ สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บคคลธรรมดาสำหรับค่าซื้อสินค้าและบริการตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 50,000 บาท
เงื่อนไขโครงการ
ㆍซื้อสินค้าจากร้านค้าที่อยู่ในฐานระบบภาษี ที่สามารถออกใบกำกับภาษีในรูปอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น
e-Refund จะเริ่มเมื่อไหร่?
ㆍมกราคม 2567
หลักฐานที่จำเป็นต้องใช้
ㆍ ใบกำกับภาษี
ใครมีสิทธิเข้าโครงการ e-Refund
ㆍไม่ได้รับสิทธิ “เงินดิจิทัล 10,000”
ㆍผู้ที่ร่วมโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท สามารถเข้าร่วมโครงการ e-Refund เพื่อลดหย่อนภาษีได้
ㆍมีรายได้เกิน 70,000 บาทขึ้นไป หรือ มีเงินในบัญชีรวมกันตั้งแต่ 500,000 บาทขึ้นไป
ㆍ มีรายได้น้อยกว่า 70,000 บาท แต่มีเงินฝากเกิน 500,000 บาท
จากรายละเอียดของโครงการ e-Refund ที่ออกมาในเบื้องต้น ขาช้อปอาจจะรู้สึกคุ้น ๆ กันอยู่บ้าง เพราะหากย้อนไทม์ไลน์ในอดีต รัฐบาล "ประยุทธ์" ได้จัดทำโครงการในลักษณะนี้ ภายใต้ชื่อ "ช้อปดีมีคืน" เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในประเทศ ด้วยการให้สิทธินำค่าซื้อสินค้าและบริการมาลดหย่อนภาษีได้บุคคลธรรมดาตามจำนวนที่จ่ายจริง
โดยมาตรการนี้เริ่มมาตั้งแต่ ปี 2565 ก่อนจะมาอัพเกรดในปี 2566 ด้วยการเพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษีเป็นสูงสุดถึง 40,000 บาทต่อคน จากปี 2565 ที่ให้อยู่ 30,000 บาทต่อคน รวมถึงมีเงื่อนไขเรื่องใบกำกับภาษีในรูปอิเล็กทรอนิกส์มาร่วมด้วย ซึ่งก็ต้องรอดูว่า ในส่วนของโครงการ e-Refund สุดท้ายแล้วจะมีเงื่อนไขอะไรออกมาเพิ่มเติมอีกหรือไม่
ถ้าดูความคาดหวังของจากโครงการช้อปดีมีคืนในปี 2566 ที่จะมีการยืนภาษีและใช้สิทธิลดหย่อนดังกล่าวกันในปี 2567 ทางกรมสรรพากรประเมินว่า น่าจะมีคนใช้สิทธิถึง 1.4 ล้านคน ช่วยให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจประมาณ 12,000 ล้านบาท ซึ่งแม้ว่าจะทำให้รัฐสูญเสียภาษีไปประมาณ 6,200 ล้านบาท แต่ก็เป็นการกระตุ้นการใช้จ่าย อีกทั้งเป็นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งจะเป็นการขยายฐานภาษี และสนับสนุนการใช้ระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์
แต่ถ้าเทียบเคียงโครงการ e-Refund ของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ก็คงคาดหวังผลสัมฤทธิ์ไม่ต่างกัน แต่จะมีอะไรเซอร์ไพรส์ขาช้อปเพิ่มเติมหรือไม่นั้น คงต้องรอดูกันต่อไป....