
นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) เปิดเผยว่า หนี้ครัวเรือนที่อยู่บนระบบของเครดิตบูโร ทั้งหมดอยู่ที่ 13.45 ล้านล้านบาท คิดเป็น 84% ของหนี้ครัวเรือนไทย
ทั้งนี้แบ่งเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือมีการค้างชำระหนี้เกิน 91 วัน (เอ็นพีแอล) ณ สิ้นไตรมาส 2/66 อยู่ที่ 1.03 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นหากเทียบกับ ไตรมาส 1/66 หนี้เสียอยู่ที่ 9.5 แสนล้านบาท จากตัวเลขของธนาคารแห่งประ เทศไทย( ธปท.) หนี้ครัวเรือน อยู่ที่ 17.62 ล้านล้านบาท คิดสัดส่วนราว 90.6% ของจีดีพี
สำหรับภาระหนี้เสียที่เกิดขึ้นมาจาก รถยนต์ 2 แสนล้านบาท หนี้เสียบ้าน 1.8 แสนล้านบาท และสินเชื่อบุคคล กู้เป็นก้อนผ่อนเป็นงวด 2.5 แสนล้านบาท จากการกู้ไปก่อนผ่อนทีหลัง และหนี้เกษตรกรอีกประมาณ 6-8 หมื่นล้านบาท
นอกจากยังมีหนี้เสียที่อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้ และลูกหนี้ที่ค้างชำระตั้งแต่ 30 วันขึ้นไป แต่ไม่เกิน 90 วัน หรือสินเชื่อจัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ(SM) ที่น่าห่วงประมาณ 9.8 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นระดับหนี้ที่ใกล้เคียงกับ หนี้เสียที่เกิดขึ้นในปัจจุบันแล้ว จากไตรมาส 1/66 มียอดปรับโครง สร้างหนี้โดยรวม 8 แสนล้านบาท
ส่วนหนี้ของลูกหนี้กลุ่มดังกล่าว อยู่ระหว่างการปรับโครง สร้างหนี้ของสถาบันการเงิน ผ่านการลดดอกเบี้ย ยืดหนี้ ดังนั้นจะมีบางส่วนที่จะสามารถกลับไปเป็นลูกหนี้ดีได้ในอนา คต โดยเห็นว่าหนี้ส่วนหนึ่งจะไหลกลับไปเป็นหนี้เสียในอนาคต ซึ่งหากดูโอกาสที่หนี้ก้อนนี้ จะไหลไปเป็นหนี้เสียมีประมาณ 30-40% และมีโอกาสกลับไปเป็นหนี้ดีได้ประ มาณ 60-70%
สำหรับหนี้ที่กำลังจะเสียปัจจุบันอยู่ที่ 4.8 แสนล้านบาท จากไตรมาส 1/66 อยู่ที่ 6 แสนล้านบาท ซึ่งยังเป็นเรื่องที่น่าห่วง โดยเฉพาะหนี้จากสินเชื่อรถยนต์ที่กำลังจะมีปัญหาการชำระหนี้ 2 แสนล้านบาท และสินเชื่อบ้าน 1.3 แสนล้านบาท ซึ่งสัดส่วน 70% เป็นสินเชื่อบ้านที่ไม่เกิน 3 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นลูกหนี้แบงก์รัฐ กลุ่มรายได้ปานกลาง และรายได้น้อย ขณะที่หนี้จากสินเชื่อบุคคลอยู่ที่ 8.6 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม จากการประเมินของธนาคารแห่งประเทศ ไทย (ธปท.)ในช่วงที่ผ่านมา คาดว่า หนี้ที่กำลังจะเสียมีโอกาสไหลไปเป็นหนี้เสียอยู่ที่ 22% สำหรับสินเชื่อบ้าน ขณะที่สินเชื่อรถยนต์หากเป็นลูกค้าแบงก์ มีโอกาสเป็นหนี้เสีย 12% แต่หากเป็นกลุ่มเช่าซื้อรถนอกระบบธปท. มีโอกาสที่หนี้เสีย 15-20% ขณะที่สินเชื่อบุคคลเป็นหนี้เสีย 54% และสินเชื่อบัตรเครดิต 56%
สำหรับกลุ่มลูกหนี้ที่น่าเป็นห่วงคือกลุ่มเจนวาย และกลุ่มเจนเอ็กซ์ ที่เป็นกลุ่มที่มีอัตราการก่อหนี้ และเป็นหนี้เสียค่อนข้างสูง โดยเฉพาะช่วงอายุ 35-40 ปี ซึ่งส่วนใหญ่ลูกหนี้ที่มีปัญหา กระจายอยู่ในเมืองใหญ่ เพราะเป็นหนี้เพื่อการบริโภค พอการบริโภคไม่เพียงพอ ก็ต้องเติมด้วยหนี้มีหนี้กว่า 6.4 แสนล้านบท แบ่งเป็นกลุ่มเจนวายเป็นหนี้เสียแล้ว 3.7 แสนล้านบาท และกลุ่มเจนเอ็กซ์ 2.7 แสนล้านบาท
นอกจากนี้เห็นว่า กลุ่มลูกหนี้ที่ต้องเร่งแก้ไขหนี้เป็นการเร่งด่วน เพื่อผลันดันให้ลูกหนี้สามารถกลับเข้าสู่ระบบโดยเร็ว คือกลุ่มลูกหนี้ที่เป็นหนี้เสียในช่วงโควิด-19 หรือรหัส 21 ที่ปัจจุบันมีลูกหนี้ทั้งหมด 4.9 ล้านบัญชี คิดเป็นมูลหนี้ทั้งหมด 3.7 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นจำนวนคนที่ 3.4 ล้านคน ที่เป็นหนี้เสียหรือประสบภัยการเงิน ในช่วงโควิด-19 จากก่อนหน้าที่กลุ่มนี้ถือเป็นลูกหนี้ที่ชำระดีมาโดยตลอด
ทั้งนี้อยากฝากรัฐบาลใหม่เข้าไปช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มนี้ เพื่อให้สามารถกลับมาเป็นลูกหนี้ดีได้ในอนาคต