
น.ส.เกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ปีนี้คาดว่าการยึดรถยนต์และจักรยานยนต์จะอยู่ที่ 2-2.5 แสนคัน จากปกติเฉลี่ยอยู่ที่ 1.7-1.8 แสนคันเป็นผลมาจากลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด หรือเกิดการผิดนัดชำระหนี้ เนื่องจาก ลูกค้าได้รับผลกระทบจากโควิด และเศรษฐกิจปัจจุบันอยู่ช่วงฟื้นตัว แต่ยังไม่ทั่วถึงทุกพื้นที่ ขณะที่ผู้บริโภคมีรายจ่ายที่สูงขึ้น และรายได้ยังไม่กลับมาทำให้มีการผิดนัดชำระหนี้
นอกจากนี้ได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยที่สูงขึ้น เช่น การนำรถมาเป็นสินทรัพย์ เพื่อเป็นหลักประกันกู้สินเชื่อ เป็นต้น โดยที่ผ่านมาสถาบันการเงินและผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (นอนแบงก์) มีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ เพื่อพยุงไม่ให้เป็นหนี้เอ็นพีแอล
อย่างไรก็ตาม ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เตรียมจัดทำหลักเกณฑ์พระราชกฤษฎีกากำหนดการประกอบธุรกิจทางการเงินบางประเภทอยู่ภายใต้บังคับของ พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.2551 คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายในวันที่ 1 พ.ย.นี้ เพื่อควบคุมธุรกิจเช่าซื้อและรถยนต์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และป้องกันไม่ให้เกิดเป็นหนี้เสียในอนาคต
รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แจ้งว่า สัญญาณสินเชื่อกล่าวถึงเป็นพิเศษ (SM) ทั้งระบบสถาบันการเงินภายใต้การกำกับของ ธปท.ไตรมาส 1/66 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 6.6 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยหากเทียบกับไตรมาส 4/65 โดยตัวเลขต่ำกว่าช่วงวิกฤตโควิด
สำหรับหนี้ที่เพิ่มขึ้นมาจาก สินเชื่ออุปโภคบริโภคสูงขึ้น จาก 2.62% มาอยู่ที่ 2.68% แบ่งเป็น สินเชื่อที่อยู่อาศัย จาก 3.01% เพิ่มเป็น 3.16% สินเชื่อรถยนต์จาก 1.88% เพิ่มเป็น 1.89%
ขณะที่สินเชื่อบัตรเครดิต ปรับลดลงเล็กน้อยจาก 3.12% มาอยู่ที่ 3.11% และสินเชื่อส่วนบุคคลปรับลดลงจาก 2.40% เหลือ 2.33% ส่วนสินเชื่อธุรกิจปรับลดลงจาก 2.77% เหลือ 2.67% ลดลงจากธุรกิจรายใหญ่และธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี)
ส่วนสถานการณ์หนี้ครัวเรือนไตรมาส 4/65 ทรงตัว สัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีอยู่ที่ 86.9% แม้ยังใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน แต่หนี้ครัวเรือนปัจจุบันเกินสัดส่วน 80% ตามที่ธนาคารเพื่อการชำระบัญชีระหว่างประเทศ (บีไอเอส) กำหนด ดังนั้น จึงต้องติดตามในเรื่องของความสามารถชำระหนี้ของกลุ่มเปราะบางที่รายได้ฟื้นตัวช้าและมีหนี้สูง