นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยกับ Nation Online ว่า เงินบาทสัปดาห์หน้าเคลื่อนไหวในกรอบ 33.85 - 34.50 บาทต่อดอลลาร์ โดยแนวโน้มแกว่งไซด์เวย์ จับตารายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ และ ปัญหาเสถียรภาพของระบบธนาคารฝั่งสหรัฐฯ รวมถึงยุโรป
สำหรับปัจจัยที่ต้องจับตาสำหรับทิศทางเงินบาท คือ การเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์ รวมถึงทิศทางราคาทองคำ ซึ่งต้องรอลุ้นทั้งรายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ รวมถึงบรรยากาศในตลาดการเงิน หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มกังวลต่อเสถียรภาพของระบบธนาคารในฝั่งยุโรป โดยราคาหุ้น Deutsche Bank รวมถึงราคาหุ้นกลุ่มธนาคารยุโรป ต่างปรับตัวลงต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ว่าจะมีมุมมองต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยอย่างไร รวมถึง กนง. จะส่งสัญญาณเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อได้หรือไม่ ส่วนปัจจัยฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ โดยรวมพบว่า เริ่มมีสัญญาณชะลอการขายหุ้นลงชัดเจนขึ้น
ส่วนในฝั่งตราสารหนี้ นักลงทุนต่างชาติกลับมาเป็นฝั่งซื้อสุทธิในระยะหลัง แต่ส่วนใหญ่อาจเป็นการซื้อบอนด์ระยะสั้น เพื่อเก็งกำไรค่าเงิน ทั้งนี้ ในช่วงปลายเดือนก็อาจมีโฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินดอลลาร์จากฝั่งผู้ส่งออก รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมช่วงปิดปีงบประมาณของบรรดาบริษัทข้ามชาติญี่ปุ่น (Japanese MNCs) ซึ่งอาจช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินบาท หรือ กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้บ้าง
สำหรับฝั่งสหรัฐฯ ไฮไลท์สำคัญที่ต้องติดตาม คือ อัตราเงินเฟ้อ PCE ในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งหากอัตราเงินเฟ้อ ชะลอลงชัดเจน ก็มีโอกาสที่เฟดอาจไม่จำเป็นต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยไปไกลมากนัก นอกจากนี้ ตลาดจะรอติดตามรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดย Conference Board รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายในอนาคต
ส่วนในฝั่งยุโรป ตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจผ่านรายงานดัชนี ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนีโดย Ifo (Ifo Business Climate) นอกจากนี้ ตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก ทั้ง ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และ ธนาคารกลางยุโรป (ECB)
ทางฝั่งเอเชีย ตลาดจะรอประเมินภาพรวมเศรษฐกิจญี่ปุ่นผ่านรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนกุมภาพันธ์ ส่วนในฝั่งไทย ไฮไลท์สำคัญที่ต้องติดตาม คือ ผลการประชุมคณะกรรม การนโยบายการเงิน (กนง.) ว่าจะมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย +0.25% สู่ระดับ 1.75% และส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องได้หรือไม่ (เราคาดว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะแตะระดับสูงสุดที่ 2.00%)
โดยต้องจับตาการประเมินภาพรวมเศรษฐกิจไทยของแบงก์ชาติ ซึ่งเรามองว่า กนง. มีโอกาสคงอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ (GDP growth) ไว้ที่ระดับ +3.7%y/y ตามการปรับคาดการณ์การบริโภค การท่องเที่ยวที่ดีขึ้น ขณะที่ กนง. อาจปรับประมาณการยอดการส่งออกลดลง ตามภาพการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจคู่ค้าสำคัญ
สำหรับปัจจัยกดดันให้ตลาดการเงินยังคงผันผวน คือ ความกังวลปัญหาในระบบธนาคารสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดยังคงกังวลต่อปัญหาดังกล่าวอยู่ สะท้อนผ่านการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มธนาคาร โดยหากตลาดการเงินกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) แรงขายหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติก็อาจยังพอมีอยู่บ้าง
แต่เราประเมินว่า แรงขายหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติอาจชะลอลงต่อเนื่อง และนักลงทุนต่างชาติอาจกลับมาเป็นฝั่งซื้อสุทธิได้บ้างในช่วงปลายสัปดาห์หน้า มองซื้อหุ้นสุทธิ 1-2 พันล้านบาท
ส่วนบอนด์เรามองว่านักลงทุนต่างชาติอาจยังไม่รีบซื้อบอนด์ไทย โดยเฉพาะบอนด์ระยะยาวมากนัก เนื่องจากระดับยีลด์ปัจจุบันถือว่าไม่ได้สูงจนน่าสนใจ โดยเฉพาะหากแบงก์ชาติส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ผู้เล่นต่างชาติบางส่วนอาจทยอยเพิ่มสถานะถือครองบอนด์ระยะสั้น เพื่อลุ้นโอกาสเงินบาทแข็งค่าในระยะสั้นได้ โดยประเมินต่างชาติซื้อบอนด์สุทธิ 1-2 พันล้านบาท
น.ส. รุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมธุรกิจและกำกับดูแลโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวกับ Nation Online ว่า ค่าเงินบาทในสัปดาห์หน้าคาดว่าเคลื่อนไหวในกรอบ 33.75-34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยปัจจัยที่ต้องติดตามคือรายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ
การประชุมณะกรรมการนโยบายการเงินหรือกนง.วันที่ 29 มี.ค.นี้คาดว่า ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% เป็น 1.75% แต่อาจมีมติไม่เป็นเอกฉันท์เพื่อส่งสัญญาณว่าอาจพิจารณาหยุดขึ้นในรอบถัดไป ขณะเงินเฟ้อไทยมีแนวโน้มเข้าสู่กรอบเป้าหมายช่วงกลางปี อย่างไรก็ตาม กรุงศรีมองสิ้นปีนี้ดอกเบี้ยนโยบายของไทยอยู่ที่ 1.75% และจีดีพีไทยเติบโต 3.3% ในปีนี้
ส่วนการเคลื่อนไหวของสกุลเงินในภูมิภาค 1 มี.ค.-24 มี.ค. พบว่า บาท-ไทยแข็งค่าสุด 3.66% รองลงมาคือวอน-เกาหลีใต้ 2.57 % เปโซ-ฟิลิปปินส์ 1.96% ดอลลาร์-สิงคโปร์ 1.55% ริงกิต-มาเลเซีย 1.38% หยวน-จีน 1.30% ดอง-เวียดนาม 1.18% รูปี-อินเดีย 0.51% รูเปียห์-อินโดนีเซีย 0.41% ดอลลาร์-ไต้หวัน 0.34%
สำหรับเดือนมี.ค.นี้ เงินบาทแข็งค่านำภูมิภาค ขณะที่ตลาดมองว่าสหรัฐฯใกล้จะยุติวัฎจักรการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว โดยการสื่อสารล่าสุดของเฟดบ่งชี้ว่ายังต้องคุมเงินเฟ้อ แต่ระมัดระวังต่อความเสี่ยงในภาคธนาคารมากขึ้น กดดันค่าเงินดอลลาร์ในตลาดโลกให้อ่อนลง นอกจากนี้เงินบาทยังได้แรงหนุนจากการที่บอนด์ยิลด์สหรัฐฯดิ่งลง ซึ่งทำให้ราคาทองคำในตลาดโลกพุ่งขึ้น กระตุ้นการส่งออกของกลุ่มผู้ค้าทองในประเทศ
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ 1-23 มี.ค. ต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นไทย 2.9 หมื่นล้านบาท แต่มียอดซื้อพันธบัตรสุทธิ 1.3 หมื่นล้านบาท