น.ส.ศิริลักษณ์ ปโกฏิประภา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด เปิดเผยกับ Nation Online ว่า ปีนี้ถือว่าทองคำเป็นทิศทางขาขึ้น โดยได้มีการปรับขึ้นมาแล้ว 300 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์หรือปรับขึ้น 20% ทำสถิติสูงสุดในรอบ 9 เดือน เป็นผลมาจากประธานเฟดระบุว่า เงินเฟ้อสหรัฐมีแนวโน้มลดลง ส่งสัญญาณชะลอขึ้นดอกเบี้ยทำให้เงินดอลลาร์อ่อน ตลาดเห็นว่านโยบายด้านการเงินเป็นสายพิราบมากขึ้น
นอกจากนี้ไอเอ็มเอฟปรับประมาณการณ์เศรษฐกิจโลกจาก 2.7% เป็น 2.9% ทั้งสหรัฐฯ โต 1.4% จากเดิมโต 1% จีนโต 5.2% จากเดิมโต 4.4% และยูโรโซนโต 0.7% จากเดิมโต 0.5% โดยเฉพาะจีนเป็นผู้ใช้ทองคำสูงสุดของโลก และเริ่มเปิดประเทศเร็วกว่าที่คาดไว้ทำให้ความต้องการทองคำมากที่สุดของโลก ซึ่งปีที่ผ่านมาจากนโยบายซีโร่โควิดของจีนทำให้ทองคำปรับราคาลงกว่า 18%
" หากย้อนสถิติที่ผ่านมาช่วงเกิดโควิดทอง Gold Spot นิวยอร์กเคยทำนิวไฮขึ้นมาแตะที่ 2,074 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทองแท่งขึ้นไปสูงสุด 31,700 บาทในเดือนเม.ย.65 ช่วงสงครามรัสเซียยูเครน"
สำหรับทิศทางทองคำเดือนก.พ.เริ่มปรับฐานหลังจากขึ้นมาต่อเนื่องอาจเกิดจากแรงขายทำกำไร ประกอบกับตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯ ดีกว่าตลาดคาดการณ์ปรับตัวขึ้น 517,000 ตำแหน่งในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.2565 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 187,000 ตำแหน่งเป็นปัจจัยกดราคาทองคำ
ส่วนประเด็นที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้คือ ถ้อยแถลงนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด และเจ้าหน้าที่เฟดในงานสุนทรพจน์ในงานเสวนาอย่างไม่เป็นทางการที่วอชิงตันดี.ซี.
ขณะเดียวกันตลาดมองว่าเงินเฟ้อน่าจะปรับตัวลดลงในไตรมาส 4/66 หลังจากที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศระบุว่าในอนาคตเงินเฟ้อของโลกมีโอกาสปรับตัวลดลง และเศรษฐกิจโลกจะดีขึ้นหลังจากที่จีนเปิดประเทศ
นอกจากนี้ต้องเกาะติดจีดีพีของสหภาพยุโรปหรืออียู ถ้าออกมาดีกว่าคาดจะทำให้เศรษฐกิจยุโรปไม่ถดถอยรุนแรง จีดีพีของจีน และดัชนีภาคการผลิต PMI ของจีน
“การที่จีนเปิดประเทศทำให้ความต้องการทองคำสูงขึ้น ถ้าราคาย่อตัวพักฐานต่ำกว่ากรอบแนวรับ 1,890-1,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ควรทยอยเข้าซื้อ ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,940-1,950 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์”