
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จัดงาน Monetary Policy Forum ครั้งที่ 3/2568 โดยเปิดเวทีให้นักวิเคราะห์และสื่อมวลชนรับฟังมุมมองเศรษฐกิจล่าสุดจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ระบุว่า ภาวะเงินเฟ้อของไทยที่อยู่ในระดับต่ำในปัจจุบัน ไม่ได้เกิดจากอุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแรง แต่เป็นผลจากปัจจัยชั่วคราวและแรงกดดันด้านอุปทาน เช่น ราคาพลังงานและอาหารสดที่ลดลง รวมถึงผลของการนำเข้าสินค้าราคาถูกจากจีน
ทั้งนี้ ธปท. ย้ำว่า “ความเสี่ยงเงินฝืดยังอยู่ในระดับต่ำ” แม้จะต้องติดตามใกล้ชิด โดยยังคงใช้นโยบายการเงินในทิศทางผ่อนคลายเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันยังห่วงการเพิ่มขึ้นของหนี้เสียในกลุ่มเอสเอ็มอี ซึ่งสะท้อนความเปราะบางในภาคธุรกิจที่ต้องการมาตรการช่วยเหลือควบคู่กับการยกระดับศักยภาพการแข่งขัน
นายสุรัช แทนบุญ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายการเงิน ธปท.กล่าวถึง สภาวะเงินเฟ้อปัจจุบันที่อยู่ระดับต่ำ โดยถูกขับเคลื่อนมาจากราคาสินค้าที่ลดลงเพียงบางหมวด โดยไม่ได้เกิดจากการปรับลดลงต่อเนื่องและเป็นวงกว้างในราคาสินค้าอื่น ๆ ปัจจัยที่ฉุดเงินเฟ้อส่วนใหญ่มาจากผลกระทบชั่วคราวและปัจจัยด้านอุปทาน (Supply)
สำหรับองค์ประกอบหลักของเงินเฟ้อ โดยเงินเฟ้อทั่วไป (Headline Inflation) มาจาก 3 ส่วน คือ เงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation), อาหารสด (Fresh Food), และพลังงาน (Energy) ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) ค่อนข้างคงที่ โดยที่ประมาณ 0.6-0.7% ซึ่งหากดูเครื่องชี้วัดแรงกดดันราคาพื้นฐาน ซึ่งเป็นตัวสะท้อนแนวโน้มเงินเฟ้อระยะต่อไปนั้น ยังพบว่าคงทรงตัวใกล้เคียงค่าเฉลี่ยและยังไม่เห็นการหักหัวลง
ทั้งนี้ปัจจัยที่ฉุดเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำ ส่วนหนึ่งมาจากอาหารสด ซึ่งเป็นปัจจัยชั่วคราวที่มาจากการที่ผลผลิตมีมากเกินไป นอกจากนี้ยังมาจากพลังงาน โดยใน ปี 2568 องค์ประกอบด้านพลังงานเป็นตัวที่ฉุดให้เงินเฟ้อทั่วไปลดลงเยอะที่สุด ซึ่งการลดลงสอดคล้องกับราคาน้ำมันดิบดูไบที่ลดลงจาก 80 ดอลลาร์มาเป็น 70ดอลลาร์ แต่หลังจากนั้นคาดว่าจะเริ่มทรงตัวที่ประมาณ 65-66 ดอลลาร์ นอกจากนี้ เงินเฟ้อที่อยู่ระดับต่ำยังมาจากไทยได้รับผลจากการอุดหนุน (subsidies) ราคาพลังงานที่ค่อนข้างมาก
“เงินเฟ้อต่ำไม่ได้สะท้อนหรือถูกขับเคลื่อนโดยอุปสงค์ในประเทศที่แย่ลง เพราะหากดูจากส่วนที่เกี่ยวข้องกับอุปสงค์ในประเทศนั้น ยังค่อนข้างโอเคอยู่และไม่ได้ลดลง ขณะที่ปัจจัยด้านอุปทานตัวที่ฉุดให้เงินเฟ้อทั่วไปลง กลับเป็นปัจจัยอยู่นอกประเทศ เช่น ราคาพลังงาน, ผักผลไม้ ซึ่งเป็นลักษณะ Supply Shock ที่ทำให้เงินเฟ้อต่ำ”
นอกจากนี้ ไทยยังมีปัจจัยเชิงโครงสร้างที่เป็นต้นเหตุทำให้เงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำเป็นพิเศษ เมื่อเทียบกับประเทศอื่น เงินเฟ้อไทยจึงอยู่ในระดับต่ำเป็นพิเศษซึ่งมาจากปัจจัยเชิงโครงสร้างที่สำคัญหลายประการ
1.สัดส่วนอาหารและพลังงานในตะกร้าสูง องค์ประกอบของดัชนีราคาผู้บริโภคไทยมีสัดส่วนของอาหาร 40% และพลังงาน 12% สูงกว่าประเทศอื่น
2.ความสามารถในการผลิตอาหารและราคาอาหารไทยต่ำกว่าประเทศอื่น เนื่องจากไทยเป็นประเทศที่ผลิตอาหารได้เอง
3.ผลกระทบจากการนำเข้าสินค้าจากจีน จากการที่ไทยนำเข้าสินค้าจากจีนค่อนข้างมาก ซึ่งสินค้าที่นำเข้าจากจีน เช่น สมาร์ทโฟน รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือสินค้าไม่คงทนเช่น เสื้อผ้า เครื่องสำอางที่มีราคาถูกกว่าที่นำเข้าจากประเทศอื่น การนำเข้าเหล่านี้เป็นปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ทำให้เงินเฟ้อไทยอยู่ในระดับต่ำ
อย่างไรก็ตาม มองว่า หากวิเคราะห์ความเสี่ยงเงินฝืด นิยามของเงินฝืด คือ การลดลงของราคาของสินค้าที่เป็นลักษณะวงกว้างและต่อเนื่อง ซึ่งจากการติดตามของ ธปท.ยังประเมินว่าความเสี่ยง “เงินฝืด” ยังอยู่ระดับต่ำแต่เป็นปัจจัยต้องจับตาดูใกล้ชิดและต้องติดตามพัฒนาการต่อเนื่อง โดยหากเกิดสัญญาณเงินฝืดจะมาจากการลดลงแบบวงกว้าง จากสัดส่วนของจำนวนสินค้าและบริการในตะกร้าเงินเฟ้อ นอกจากนี้หากพบว่าราคาสินค้าที่ปกติราคาไม่ค่อยปรับ หรือมีความ “หนืด” หากสินค้าที่มีความหนืดเหล่านี้เกิดการลดราคาลงจะเป็นสัญญาณอันตราย เพราะจะสะท้อนอุปสงค์ที่อ่อนแรงมาก แต่ปัจจุบันข้อมูลของ Sticky Price CPI ที่ผ่านมาค่อนข้างนิ่งๆและยังคงใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอดีต และยังไม่เห็นการหักหัวลงของแรงกดดันราคาพื้นฐาน
สำหรับการคาดการณ์เงินเฟ้อในระยะข้างหน้ามองว่าคาดการณ์ระยะปานกลางยังถือว่ายึดเกาะได้ดี จากการสำรวจจากครัวเรือน ธุรกิจ ฯลฯ ที่ยังมองว่าเงินเฟ้อจะยึดเหนี่ยวเงินเฟ้ออยู่ในระยะปานกลาง ที่ 1.5% - 1.6% ซึ่งยังอยู่ในเป้าหมายนโยบายการเงินที่ 1-3%
นายปิติ ดิษยทัต รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธปท.กล่าวว่า ที่สิ่งที่น่าเป็นห่วงจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อภาวะเงินเฟ้อติดลบหรือเงินฝืดเกิดขึ้นพร้อมกับการลดลงของราคาสินทรัพย์อย่างกว้างขวาง (Asset Price Deflation) ดังนั้นตัวที่น่าห่วงมากกว่าคือ เงินฝืดเงินขึ้นพร้อมกัน Asset Price Deflation เช่น ช่วงที่ฟองสบู่แตก หรือกรณีของญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 1990 ที่เกิดเงินฝืดควบคู่ไปราคาบ้าน สินทรัพย์ต่างๆลดลงอย่างมาก ทำให้เศรษฐกิจซบเซา แต่ตั้งแต่ปี 2000-2012 เงินเฟ้อติดลบต่อเนื่อง แต่จีดีพีหรือรายได้ต่อหัวของคนญี่ปุ่นเท่ากับสหรัฐ ดังนั้นเศรษฐกิจไม่ได้ได้ถือว่าแย่ แต่เงินเฟ้อติดลบต่อเนื่อง ราคาสินทรัพย์ไม่ได้ติดลบ
“ความน่าห่วงคือ เงินเฟ้อติดลบ เกิดขึ้นควบคู่กับอะไร และสาเหตุมาจากไหน ถ้าเงินเฟ้อติดลบหรือต่ำจากปัจจัยด้านอุปทานความสามารถในการผลิตสินค้าที่ดีขึ้น เช่น จีนที่เข้ามาในระบบเศรษฐกิจโลก ทำให้ราคาสินทรัพย์ลดลง อันนี้เป็นเหมือน Positive supply shock เงินเฟ้อจะอยู่ในระดับต่ำ แต่สะท้อนประสิทธิภาพการผลิตที่ดีขึ้นของสินค้าบางหมวดหมู่ที่ไม่ได้สะท้อนว่าเศรษฐกิจแย่”
นายปิติ กล่าวว่า หากดูอัตราการเติบโตเศรษฐกิจเทียบศักยภาพ วันนี้เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพจาก Output gap หรือช่องว่างการผลิตต่างๆ ซึ่งสิ่งที่แรกที่คนคิดถึงคือนโยบายการเงินต้องเข้ามาช่วยกระตุ้น ดังนั้นถามว่านโยบายการเงินมีบทบาทหรือไม่ “มี” จึงเป็นเหตุผลให้ กนง.อยากให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ระดับผ่อนคลายที่จะกระตุ้นหรือส่งเสริมให้ภาคการเงินส่งเสริมการขยายตัวระยะสั้น
แต่ไม่ได้หมายความว่า Output gap ต้องปิดด้วยดอกเบี้ยเสมอไป เพราะผลที่เศรษฐกิจขยายตัวช้าระยะสั้นมีปัจจัยต้านจาก Headwind หรือแรงต้านทั้งจากข้างนอกและข้างใน โดยเฉพาะจากต่างประเทศที่คุมไม่ได้ อีกตัวฉุดที่รั้งคือหนี้ครัวเรือนที่อยู่ระดับสูงที่ฉุดรั้งการบริโภคไม่ให้ขยายตัวได้ดี ซึ่งสุดท้ายแล้วมองว่านโยบายการเงินการคลังต้องทำงานควบคู่กัน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะลด Output gap ตรงนี้ได้
นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธปท.กล่าวว่า เรื่องของเงินฝืด คือการลดลงของราคาสินค้าที่เป็นวงกว้างและต่อเนื่อง แต่ดูการปรับลดราคาสินค้าในปัจจุบัน พบว่าหากดูราคารถยนต์มือสอง มีการปรับลดลงค่อนข้างเยอะในช่วงที่ผ่านมา จากการแข่งขันจากต่างประเทศ แต่ในช่วงปีนี้ราคาเริ่มที่จะไม่ได้ปรับลดลงอย่างต่อเนื่องแล้ว ซึ่งหมายความว่าเริ่มเข้าสู่ดุลยภาพของราคา ขณะที่หากดูด้าน ราคาบ้านธปท.พบว่าเริ่มเห็นการปรับลดลงของราคาให้เห็นบ้าง แต่ยังค่อนข้างจำกัดอยู่ในกลุ่มที่เป็นลักษณะแนวสูงหรือคอนโด ส่วนบ้านที่เป็นแนวราบ จากข้อมูลที่ใช้ยังไม่เห็นราคาที่ลดลง
แต่สิ่งที่ ธปท.กังวล คือ การลดลงต่อเนื่องและวงกว้าง สะท้อนว่าประชาชนเริ่มนำปัจจัย “เงินเฟ้อ” มาตัดสินใจจึงเริ่มชะลอการบริโภค ซึ่ง ธปท.ยังไม่เห็นทั้งฝั่งการลงทุนหรือฝั่งบริโภค แต่อย่างไรก็ตามความเสี่ยงเงินฝืดเป็นสิ่งที่ ธปท.จะประเมินต่อเนื่องและจับตาใกล้ชิด
สำหรับบทบาทของนโยบายการเงิน กนง.ยังมองว่านโยบายการเงินควรอยู่ในระดับผ่อนคลายต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ โดยนโยบายการเงินในปัจจุบัน กนง.มองว่าควรอยู่ระดับผ่อนคลายต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจมหภาคโดยภาพรวม เพื่อการรองรับความเสี่ยง และผลของการลดอัตราดอกเบี้ยที่ผ่านมา 4 ครั้งหรือ 1% ที่ดำเนินการไปแล้วนั้นกำลังอยู่ระหว่างการส่งผ่านสู่ระบบเศรษฐกิจ ทั้งนี้หากเริ่มเห็นการตอบสนองต่อเงินฝืด หรือหากเริ่มเห็นสัญญาณความเสี่ยงของเงินฝืดที่สูงขึ้น เช่น การลดลงของสินค้าในวงกว้างอย่างต่อเนื่อง เครื่องมือทางด้านนโยบายอัตราดอกเบี้ยก็จะเปลี่ยนไป นโยบายการเงินจะต้องกลับมาดูแลเรื่องนี้มากขึ้น ทั้งนี้ การมองไปข้างหน้า กนง.ยังคงใช้การมองข้างหน้า forward-looking ในการพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
น.ส.ปราณี สุทธศรี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธปท. กล่าวว่า ภาพรวมสถานการณ์สินเชื่อ ปัจจุบันเห็นความต้องการสินเชื่อลดลง ความต้องการสินเชื่อของธุรกิจขนาดใหญ่ปรับลดลง สืบเนื่องมาจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่ยังมีอยู่ และจากความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อที่ธนาคารมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มหนี้ที่มีเครดิตสูง
ทั้งนี้ประเด็นความเสี่ยงที่ต้องติดตามใกล้ชิดคือ หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) เป็นส่วนที่ธปท.ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอ็นพีแอลในกลุ่มเอสเอ็มอีที่มีสัญญาณปรับตัวสูงขึ้น ดังนั้นจึงมีความจำเป็นในการมีมาตรการในการช่วยเหลือเอสเอ็มอี โดยเฉพาะการลดภาระการจ่ายคืนเงินต้นและดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาเอสเอ็มอี ไม่ได้มาจากปัจจัยดอกเบี้ยเท่านั้น เนื่องจากเอสเอ็มอีปัจจุบันเชิญปัญหาจาก กำลังซื้อ การแข่งขัน และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป และต้นทุนที่สูง ดังนั้นปัจจัยดอกเบี้ยไม่ใช่ปัญหาหลักของเอสเอ็มอี
“การแก้ปัญหาเอสเอ็มอี นอกจากการใช้เครื่องมือด้านดอกเบี้ยหรือมาตรการทางการเงินแล้ว การยกระดับศักยภาพของเอสเอ็มอี ก็เป็นสิ่งที่จะต้องดำเนินการควบคู่กันไป”
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ภาครัฐจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านคนละครึ่งพลัส ฯลฯ คาดว่า จะมีผลบวกต่อจีดีพี ในไตรมาส 4 ราว 0.2-0.3% ที่มีผลต่อการใช้จ่ายและการเติบโตในไตรมาสสุดท้ายปีนี้