
หลังจากเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติ ไม่ชี้มูลความผิด นายนิพิฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา กับพวกรวม 17 คน ในคดีที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนปลูกปาล์มในประเทศอินโดนีเซีย โดยผลการไต่สวนนานถึง 10 ปี พบว่า ไม่ปรากฏพยานหลักฐานว่า นายนิพิฐกระทำทุจริต และ ปตท.รวมถึง บริษัท ปตท. กรีน เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด ไม่ได้รับความเสียหายใด ๆ ในสมัยของนายนิพิฐ โดยพิจารณาแล้วว่า "ข้อกล่าวหาไม่มีมูล ทั้งทางอาญาและทางวินัย"
ในขณะที่ นายนิพิฐระบุว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้น มาจากการบริหารจัดการของผู้บริหารชุดถัดมา ที่เข้ารับตำแหน่งในช่วงเดือนมีนาคม 2555
อย่างไรก็ตาม ปรากฏข่าวว่า ปตท. และคณะกรรมการ ปตท.เตรียมดำเนินการฟ้องร้องอดีตผู้บริหาร (ซึ่งคือนายนิพิฐกับพวก 3คน) โดยนายนิพิฐ มองว่า การกระทำดังกล่าวของ ปตท.สวนทางกับมติของ ป.ป.ช. ทำให้ในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 นายนิพิฐได้ทำหนังสือถึงบริษัทและกรรมการบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) โดยมีสาระสำคัญดังนี้:
ขอให้หยุดพฤติกรรมอันฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เพื่อช่วยเหลือบุคคลหนึ่งบุคคลใดมิให้ต้องโทษทางอาญา และขอให้หยุดพฤติกรรมกลั่นแกล้งนายนิพิฐกับพวกให้ได้รับโทษทางอาญาอย่างต่อเนื่อง
หากยังฝ่าฝืน นายนิพิฐจะดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. และนำคดีฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ในข้อหาหรือฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ มาตรา 200 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และเป็นเจ้าพนักงานที่กระทำการในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นมิให้ต้องโทษ หรือแกล้งผู้อื่นให้ต้องรับโทษ
นายนิพิฐ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า คดีนี้เริ่มต้นจากการกลั่นแกล้งตนเอง และการแจ้งความเท็จต่อ ป.ป.ช. และกล่าวหาว่าการกระทำของ ปตท. เป็นการดำเนินการฟ้องซ้ำ ทั้งที่ ป.ป.ช. มีมติไม่ชี้มูลความผิดแล้ว โดยมีเจตนาช่วยเหลือกลุ่มผู้กระทำผิด ให้ไม่ต้องรับโทษทางอาญา และเป็นการกลั่นแกล้งตนเอง ให้ได้รับโทษทางอาญาอย่างต่อเนื่อง นายนิพิฐ ยืนยันว่า จะดำเนินคดีอาญากับผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคน ทุกองค์กร ทุกศาล อย่างเด็ดขาด