svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

"อาคม"มั่นใจรัฐเก็บรายได้เข้าเป้าทั้งปีแตะ 2.49 ล้านล้านบาท

29 พฤษภาคม 2566
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

"อาคม" เผย 7 เดือนจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้น 7.4% สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ 8.9% คาดทั้งปีแตะ 2.49 ล้านล้านบาท พร้อมเดินหน้านโยบายเชิงรุก ขณะที่เวิลด์แบงก์แนะปฏิรูปภาษีปั๊มรายได้

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง  เปิดเผยภายในงานปาฐกถาพิเศษในการเปิดตัวรายงานเรื่อง "การประเมินรายได้และรายจ่ายภาครัฐของประเทศไทย : การส่งเสริมอนาคตที่ทั่วถึงและยั่งยืน" ที่จัดโดยธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ว่า  ในปีงบประมาณ 66 ภาพรวมการจัดเก็บรายได้จะดีขึ้นกว่าช่วงโควิด-19 อย่างชัดเจน  โดยช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา  (ต.ค.65-เม.ย.66) สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 7.4% และสูงกว่าเป้าหมายตามเอกสารงบประมาณ 8.9% ทำให้มั่นใจว่าการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในปีงบประมาณนี้จะทำได้ตามเป้าหมาย 2.49 ล้านล้านบาทแน่นอน

ทั้งนี้เห็นว่าหลังจากเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด-19 แล้ว สิ่งที่ต้องดำเนินการ เพื่อส่งเสริมการเติบโตอย่างทั่วถึงในระยะถัดไป คือ การเพิ่มสวัสดิการให้กับประชากรกลุ่มเปราะบาง การส่งเสริมการลงทุนในอนาคต โดยกระทรวงการคลังจะต้องผลักดันนโยบายการคลังเชิงรุก ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะต้องเดินหน้านโยบายการเงินที่รอบคอบต่อไป และบริการจัดการเศรษฐกิจมหภาคให้เข้มข้นมากขึ้น ประสานนโยบายให้ทั่วถึง
 

 

นอกจากนี้มีประเด็นเร่งด่วนที่ต้องพิจารณา คือ ราคาพลังงานที่ส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อ โดยที่ผ่านมารัฐบาลได้วางมาตรการช่วยเหลือที่ตรงเป้าผ่านการอุดหนุนเงินในวงกว้าง แต่ต้องยอมรับว่าการอุดหนุนใช้งบประมาณค่อนข้างมาก แต่ก็สามารถรักษาระดับราคาขายและรักษาอัตราเงินเฟ้อได้ ผลที่เกิดขึ้นคาดว่าในปี 66 อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ต่ำกว่าระดับ 3% อย่างแน่นอน

ส่วนในอนาคตนโยบายการอุดหนุนต่าง ๆ จะต้องถอนตัวออกมา เพราะในระยะปานกลางรัฐบาลมุ่งหวังที่จะใช้นโยบายการคลังแบบรัดเข็มขัด โดยได้มีการกลับมาทบทวนและวางกรอบนโยบายการคลังระยะปานกลาง ปี 67-70 โดยในปี 67 ตั้งเป้าขาดดุลงบประมาณ 3% และลดลงอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีที่คาดว่าจะลดลงจาก 61.78% ในปี 68 เป็น 61.25% ในปี  70 และตามรายงานของธนาคารโลกที่นำเสนอเรื่องการปฏิรูปภาษีแบบก้าวหน้า เมื่อนำแต่ละวิธีมารวมกันจะสามารถช่วยเพิ่มรายได้ของรัฐให้ดีขึ้นราว 3.5%

นายฟาบริซิโอ ซาร์โคเน ผู้จัดการธนาคารโลกประจำประเทศไทย กล่าวว่า ประเทศไทยสามารถปฏิรูปเศรษฐกิจให้มีความเท่าเทียมและยืดหยุ่นมากขึ้นได้โดยการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายภาครัฐ การเพิ่มการจัดเก็บรายได้ภาครัฐ และการใช้นโยบายช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและนโยบายที่เกี่ยวกับการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยธนาคารโลกพร้อมให้การสนับสนุนการปฏิรูปทางการคลังของประเทศไทยทเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายเหล่านี้

อย่างไรก็ตาม ในระยะยาว การรับมือกับภาระทางการคลังที่จะเกิดจากการใช้จ่ายที่จำเป็น พร้อมกับบริหารหนี้สาธารณะให้อยู่ในระดับที่มีความยั่งยืนนั้น จะต้องอาศัยการจัดเก็บรายได้ภาครัฐที่เพิ่มขึ้น ผ่านการปฏิรูปภาษีแบบก้าวหน้า อาทิ การขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และยกเลิกการยกเว้นต่างๆ การขยายฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและลดเงื่อนไขการลดหย่อนภาษีและการหักค่าใช้จ่าย การขยายการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยให้มีการดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป

ซึ่งการปฏิรูปเหล่านี้จะส่งเสริมให้เกิดความเท่าเทียมและเพิ่มศักยภาพการจัดเก็บรายได้ภาครัฐเพื่อรองรับการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ซึ่งการปฎิรูปด้านภาษีมีผลต่อผู้มีรายได้น้อยและคนยากจนสามารถรับการทดแทนโดยนโยบายและมาตรการช่วยเหลือทางสังคมต่างๆ ซึ่งยังส่งผลให้สถานะทางการคลังของรัฐบาลดีขึ้นด้วย

logoline