สีสันการหาเสียงของผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.กว่ายี่สิบชีวิตนั้น บรรดาตัวเต็งที่สื่อหลากสำนักวางชื่อไว้บนโพเดียม เช่น "ชัชชาติ สิทธิพันธุ์(อิสระ)-พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง(อิสระ)-วิโรจน์ ลักขณาอดิศร(พรรคก้าวไกล)-สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์(พรรคประชาธิปัตย์)-สกลธี ภัทธิยะกุล(อิสระ)-น.ต.ศิธา ทิวารี(พรรคไทยสร้างไทย)-รสนา โตสิตระกูล(อิสระ)" คือผู้สมัครที่"มีโอกาส" แต่โอกาสนั้นจะมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่ที่ยุทธศาสตร์ของแต่ละคน ส่วนผู้สมัครคนอื่นๆนั้นเสมือนสีสันสนามเมืองหลวงที่ลงสมัครขอโอกาสและวัดเรตติ้งตัวเอง
แคมเปญหาแต้มของผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.นั้นมีทั้งเหมือนกัน-แตกต่างกัน รวมทั้งจุดอ่อนจุดแข็งของตัวเต็งแต่ละชีวิตก็มีเหมือนกัน อยู่ที่ว่าใครจะโดนโจมตีจากจุดใดและด้วยน้ำมือของใคร
แน่นอนว่าคะแนนนิยม-คะแนนจัดตั้งของผู้สมัครชิงประมุขเสาชิงช้าแต่ละคนย่อมมีอยู่ในมือ(บวกกับคะแนนจัดตั้งของผู้สมัครส.ก.ที่แตะมือกับตัวเต็งชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯกทม.ที่ต้องนำมาคำนวณเคียงข้างกันด้วย) แต่อย่าลืมคะแนนเงียบ ผู้ยังไม่ตัดสินใจ รวมเข้าไปด้วย
อยู่ที่การตัดสินใจของผู้มีสิทธิเลือกตั้งเมืองหลวงที่มีอยู่ 4,374,131 คน (ข้อมูลคำนวณถึงวันที่ 22 พ.ค.2565) แบ่งเป็นเพศชาย จำนวน 1,996,104 คน เพศหญิง จำนวน 2,378,027 คน จำนวนหน่วยเลือกตั้ง 6,862 หน่วย
ทั้งนี้ จำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรก (นิว โหวตเตอร์) ร้อยละ 16 (ประมาณ 6-7 แสนคน) ว่าจะเทใจให้ใคร-เพราะอะไร
22พ.ค.2565 รู้กัน....กับคำตอบจากชาวกรุง
มองผลการเลือกตั้งครั้งล่าสุด( 3มี.ค.2556 ซึ่งหลายคนมองว่าแข่งขันกันดุเดือดและเฉือนกันในแทบวินาทีสุดท้าย) พบว่า อันดับหนึ่ง หม่อมราชวงศ์ สุขุมพันธุ์ บริพัตร พรรคประชาธิปัตย์ได้ 1,256,349 คะแนน อันดับสอง พลตำรวจเอก พงศ์พัศ พงษ์เจริญ พรรค เพื่อไทยได้ 1,077,899 คะแนน ทิ้งอันดับสาม พลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ผู้สมัครอิสระ ที่ได้ 166,582คะแนน แบบไม่เห็นฝุ่น
ส่วนผลโพลก่อนการลงคะแนนคราวนั้น พบว่าดุสิตโพลสำรวจให้ "พลตำรวจเอกพงศพัศ" ชนะ "หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์" 49.01% ต่อ 39.65% กรุงเทพโพลล์ให้ชนะ 44.14 ต่อ 41.07 เอแบคโพลล์ให้ชนะ 45.9 ต่อ 34.1 บ้านสมเด็จโพลให้ชนะ 40.02 ต่อ 38.54 แต่นิด้าโพลสวนกระแส ให้ ปชป.ชนะพท. บนสกอร์ 43.16 ต่อ 41.45
ครั้งนี้หลายคนมองว่าประวัติศาสตร์อาจคัมแบ็กอีกครั้งหรือจะมีการเขียนบันทึกบทใหม่ด้วยหลากปัจจัยเพราะอย่าลืมว่าตัวเต็งแต่ละคนนั้น มีโอกาสมากน้อยแตกต่างกัน ฉะนั้นควรเพ่งมองปีกการเมืองที่พัวพันกับโอกาสของแต่ละชีวิตที่ลงประชันในคราวนี้เคียงข้างแบบเลี่ยงมิได้
หากแบ่งปีก(สีเสื้อ-ขั้วการเมือง)นั้นจะบ่งชี้โอกาสของตัวเต็งแต่ละชีวิตได้อีกชั้นหนึ่ง
ปีกรัฐบาล คือ" บิ๊กวิน-ดร.เอ้-อดีตส.ส.จั้ม"
ปีกฝ่ายค้านคือ "อดีตรมต.แข็งแกร่งสุดในปฐพี-วิโรจน์สีส้ม-ผู้พันปุ่น"
ปีกเสื้อเหลือง คือ"รสนา"
แต่ละปีกการเมือง ผู้สมัครแต่ละคนย่อมทราบโอกาสของตัวเอง ก่อนลงประชันว่า เลือกตั้งครั้งนี้ตัวเองจะเข้าเส้นชัยอันดับที่เท่าใด-คะแนนสะสมกี่แต้ม เพื่อวางยุทธศาสตร์สนามส.ส.กทม.ในยามหน้าที่ต้องสู้กันชิง 30 เก้าอี้ บวกกับการแข่งขันของผู้สมัครส.ก.50 ชีวิต ใน 50 เขตเมืองหลวงที่จะเดินขนาบข้างกัน
อย่าลืมว่าเลือกตั้งแต่ละครั้งคนการเมืองแทบทุกสนามมีการย้ายขั้ว-เปลี่ยนพรรคเป็นประจำ เพราะคนการเมืองทุกชีวิตย่อมมองว่าโอกาสของตัวเองจะชนะนั้นควรยืนฝ่ายใด หรืออย่างน้อยสะสมแต้มให้มากสุดเพื่อจังหวะวันข้างหน้า บวกกับแกนนำแต่ละพรรค-แต่ละกลุ่มการเมืองย่อมเลือกสิ่งดีที่สุดให้ตัวเองและเครือข่ายเพื่อเดินแตะเส้นชัยให้มากที่สุด
ผู้สมัครส.ก.ซึ่งมีทั้งสังกัดพรรค-กลุ่มการเมือง-อิสระเป็นกองหนุน และผู้สมัครส.ก.ใน 50 เขตนั้น ควรจับจ้องไปเพิ่มเติมด้วยว่า เป็นคนที่มีบารมี-มีชื่อเสียง-มีผลงานในเขตนั้นๆเคียงข้างไปด้วย เพราะคะแนนผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.-ผู้สมัคร ส.ก. 50 เขตนั้น ตามหลักแล้วต้องคะแนนในบัตรสองใบต้องอยู่ในระนาบเดียวกัน แต่ก็มีปัจจัยแทรกในการแบ่งแต้ม-ตัดคะแนนกันเองแบบทับซ้อนกันด้วย
"บิ๊กวิน"นั้นมีกลุ่มรักษ์กรุงเทพหนุน รวมทั้งโครงค่ายข้าราชการกทม.ที่วางไว้ล่วงหน้าเป็นแบ็กอัพ รวมทั้งทีมรักษ์กรุงเทพที่เคยร่วมงาน 5 ปี 5 เดือน 5 วันกับ"บิ๊กวิน"ที่เสาชิงช้าก็ลงสมัครส.ก.ครบทุกเขต
แต่"บิ๊กวิน"ต้องตัดแต้มกันเองกับ"อดีตส.ส.จั้ม"ที่เคยนั่งเป็นรองผู้ว่าฯกทม.และมี กปปส.(บางปีก) + พรรคสีฟ้า(บางส่วน)เป็นกองหนุน โดยที่อดีตผู้บริหารกทม.ทั้งสองคนต้องแข่งกับ "ดร.เอ้"ที่มีบ้านใหญ่สีฟ้าแดนเมืองหลวงหลายเขตลงชิงเก้าอี้ส.ก.ตรงนี้ก็หั่นแต้มกันเองไประดับหนึ่ง
เมื่อต้องปะทะกับ"พรรคพลังประชารัฐ"ที่แม้ไม่ส่งผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.แต่พรรคนี้ส่งผู้สมัครส.ก.50เขตไว้เพื่อรักษา10ส.ส.เมืองหลวงในการเลือกตั้งครั้งหน้านั้น ฐานคะแนนของกลุ่มนี้อยู่ในหมวดเดียวกัน
ส่วน"ผู้พันปุ่น" พรรคไทยสร้างไทย ต้องแข่งขันกับ"ชัชชาติ" ซึ่งไม่มีผู้สมัครส.ก.เป็นเพื่อน แต่"ชัชชาติ"แตะมือกับพรรคเพื่อไทยที่ส่ง 50 ผู้สมัครส.ก.นั้นก็แปลว่า อดีตคนบ้านเดียวกันหั่นคะแนนจัดตั้งกันเอง
บวกกับต้องสู้กับ"วิโรจน์ค่ายสีส้ม"ที่หวังแชร์ 6-7แสนแต้มจากนิวโหวตเตอร์+กองหนุนพรรคก้าวไกลที่มี 9 ส.ส.เมืองกรุงเป็นแบ็กอัพ โดยที่มองข้ามพรรคเพื่อไทยไม่ได้เพราะ"พวงเพ็ชร์ ชุนละเอียด" แม่ทัพเมืองหลวงคนใหม่ของพท.ต้องสะสมเพเวอร์จากงานนี้เพื่อสร้างเครดิตชีวิต แม้"เจ๊แจ๋น"ต้องปะทะกับค่ายสีส้มและ"คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์"ที่แยกไปตั้งพรรคไทยสร้างไทยก็ตาม เพราะการเมืองนั้นคนชนะคือคนคิดเกมใหม่
ขณะที่อดีตส.ว.กทม.ที่ชื่อ"รสนา"นั้น แม้จะมีคนเสื้อเหลืองและพลังอิสระหนุนโดยแท้ แต่มองแล้วคงยากที่จะถึงฝั่ง ดีไม่ดีรสนาจะตัดแต้มของทั้งสองปีกได้ด้วยอีกทางหนึ่ง
เกมนี้บนสนามเมืองกรุง ...ชวนระทึกนัก